วันอาทิตย์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2553

ปฐมบทแห่งตำนาน - บทย่อยที่ 4 การประชุมของเหล่าทวยเทพ

เสียงน้ำตกหลากชั้นไหลรินลดหลั่นลงมากระทบสระกว้างเบื้องล่างส่งเสียงซ่าไม่ขาดสาย ชายวัยกลางคนผู้มีผมสีบรอนซ์เดินนำหน้าเด็กสาวเจ้าของเกศาทองคำเบื้องหลัง ผ่านสวนสวรรค์ที่ประดับประดาไปด้วยไม้เลื้อยสีเขียวสด แลดอกกุหลาบหลากสีสัน ลัดเลาะไปตามขอบสระน้ำใหญ่ที่รวมเอาสายน้ำตกจากส่วนต่างๆของพระราชวังลอยฟ้าแห่งนี้เอาไว้
ไม่มีการสนทนาระหว่างทางที่ผ่านมา ดูเหมือนผู้นำทางจะรู้สึกได้ถึงอารมณ์ของผู้อยู่เบื้องหลังได้เป็นอย่างดี แม้จะมิใช่อารมณ์โกรธเคือง แต่ก็มิใช่อารมณ์ปกติเช่นกัน

ในหัวของเซร่านั้น เธอยังคงคิดไม่ตกกับการตัดสินพระทัยของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นพระบิดา ซ้ำยิ่งเธอยังไม่ทราบเหตุผลทั้งหลายด้วยยิ่งแล้วใหญ่

เหล่าผู้อาวุโสแห่งดินแดนเทพประชุมเรื่องอะไรอยู่กันแน่? เหตุใดมหาเทพลูเธอร์ พระบิดาของเธอถึงตัดสินพระทัยเช่นนั้น หรือว่าบางทีอาจเกิดเหตุการณ์วิกฤตอะไรสักอย่างในระดับที่จอมเทพจำเป็นต้องลงมากำกับการประชุมและตัดสินทุกอย่างด้วยตนเอง
โดยปกติแล้ว ลูเธอร์ ไม่เคยยื่นมือเข้ามายุ่งในสภาของเหล่าเทพชั้นสูงและขุนนางทั้งหลาย การปกครองบ้านเมืองจะถูกหารือภายในที่ประชุมจนเสร็จสิ้น ยกเว้นเป็นกรณีวิกฤตหรือเหตุการณ์ที่อาจจะนำพาเผ่าพันธุ์แห่งเทพไปสู่หายนะ กรณีเหล่านั้นถึงจะถูกส่งต่อไปหาตัวลูเธอร์เอง

กลับกัน ครานี้ตัวเขากลับเข้าร่วมการประชุม ทั้งยังทำหน้าที่เป็นประธานการประชุมตั้งแต่เปิดวาระการประชุมเสียด้วยซ้ำ เหตุการณ์เช่นนี้เซร่าไม่เคยเห็นมาก่อนนับแต่ที่เธอเริ่มจำความได้
ซึ่งนั่นก็เป็นเวลามากว่าเกือบสี่ร้อยปีได้แล้ว

ผ่านสระสวรรค์ข้ามผ่านสู่ราชวังชั้นใน เหล่าทหารสวมเกราะอัศวินทองคำ ผู้มีปีกสีขาวนวลตาอยู่ด้านหลังสองปีก รีบกระทำความเคารพผู้มาเยือนชั้นในทั้งสอง เหล่านางกำนัลชั้นในต่างหุบปีกด้านหลังพลางยกชายกระโปรงสีขาวขึ้นแทนการยืนตรงเช่นเหล่าอัศวิน

“รู้สึกวันนี้นางฟ้าจะเยอะผิดปกตินะคะ”

หลังจากนิ่งเงียบมานาน เด็กสาวถึงเริ่มเอ่ยประโยคแรกออกมาเป็นคำถามยิงใส่เทพอาวุโสเบื้องหน้า

“เพราะ ว่าการประชุมครั้งนี้สำคัญมากพะย่ะค่ะ การประชุมที่ยาวนานนี่ก็เริ่มมาตั้งสองสามวันมาได้แล้ว เหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายต่างก็ยังมิได้หยุดพักเลย มิแปลกที่จะต้องมีนางฟ้ามากมายเพื่อนผลัดเปลี่ยนการปรนนิบัติ”
“สองสามวันเลยรึลุง? ทำไมข้ามิรู้เล่า?”
“ก็เมื่อห้าวันที่แล้วท่านออกจากวัลฮัลล่าห์ ลงไปยังมหานครเอร์กรอสมิใช่หรือ? แล้วท่านก็เพิ่งกลับมาวันนี้เมื่อเช้า แถมยังมิได้เข้าเฝ้าท่านลูเธอร์ด้วย!”
“ละ ลุงรู้ได้ไงน่ะ!?”
“ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ มีรึที่ข้าจะไม่รู้การเคลื่อนไหวของพระธิดาแห่งทวยเทพ ผู้มีพลังมากที่สุดในอาณาจักรรูนน่ะ!”
“นี่ลุงละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวผู้อื่นหรือคะ? ทำไมต้องติดตามดูข้าด้วย”

ฮูเกลส์หยุดเดินกะทันหันจนทำเอาเซร่าต้องหยุดไปด้วย แม้เพียงไม่กี่ก้าวเบื้องหน้าของพวกเขาก็คือ มหาวิหารอันสูงตระหง่าน อันที่เป็นประชุมของเหล่าทวยเทพระดับสูงทั้งหลายแล้ว

“ข้าไม่ได้อยากละเมิดหรอกพะย่ะค่ะองค์หญิง แค่มันเป็นความต้องการขององค์กษัตริย์เทพเท่านั้นเอง”

ประโยคที่ทำเอาเด็กสาวอึ้งจนพูดไม่ออกไปสักครู่ ก่อนจะต้องรีบก้าวตามฮูเกลส์ผ่านประตูบานใหญ่เข้าไปยังลานกว้างโถงประชุมที่มีเพดานสูงเป็นสิบๆเมตร เหล่าเทพอาวุโสแต่ละตนนั่งอยู่บนชั้นอัฒจันทร์ต่างๆที่ลดหลั่นไปตามระดับของตนเอง เบื้องหน้าเทพทั้งสองไกลออกไปเป็นบรรลังก์ประดับอัญมณีที่ถูกยกพื้นสูงกว่าชั้นอัฒจันทร์ทั่วไป มีชายผู้มีเครายาวผู้หนึ่งนั่งประทับอยู่ มงกุฎทองคำประไพลินเม็ดใหญ่บนศรีษะบ่งบอกถึงบรรดาศักดิ์ได้เป็นอย่างดี เขาใช้มือข้างหนึ่งลูบเคราสีทองดุจเดียวกับสีผม ทอดเนตรสู่อาคันตุกะใหม่ทั้งสองเบื้องล่างบนลานกว้าง

ฮูเกลส์และเซร่านั่งชันเข่าข้างหนึ่ง เป็นการทำความเคารพ ก่อนจะกลับมายืนขึ้นอีกครั้ง

“เซร่า เจ้าออกไปจากวัลฮัลล่าห์โดยมิกล่าวอันใดกับข้าก่อน แม้เพียงขออนุญาตเจ้าก็มิได้มาขอ เจ้าลงไปเอร์กรอสเช่นนี้ คงมีเหตุจำเป็นที่พอจะแก้ตัวได้กระมัง?”

ท่ามกลางความเงียบ ชายผู้นั่งบรรลังก์เอ่ยกล่าวคำถามทำลายความว่างเปล่าแก่ผู้อยู่เบื้องล่างเป็นอย่างแรก ดวงเนตรสีฟ้าจับจ้องอยู่ที่เด็กสาวไม่ลดละ

“ข้าลงไปยังเอร์กรอสก็เพื่อตรวจตราเหล่าพสกนิกร มันผิดด้วยหรือที่ข้ามิได้ขอพระราชอนุญาตท่าน เสด็จพ่อ?”
“แก้ตัวได้ดีนี่ บุตรีแห่งข้า จริงๆแล้วจุดประสงค์แอบแฝงมิใช่เพื่อลงไปเที่ยวเล่นหรอกรึ?”

เป็นประโยคที่แสบถึงทรวงของเซร่าไม่น้อยเลยทีเดียว ดูเหมือนมันจะเป็นความจริงอย่างที่ลูเธอร์กล่าว เพราะเด็กสาวผู้มีเกศาทองคำยาวจรดน่องจะหยุดเงียบไปสักพัก ราวกับว่าความจริงที่เธออยากปิดซ่อนมันไว้ถูกตีแตกจนกระจาย

“หากท่านดำริเช่นนั้น ก็แล้วแต่ท่านเถิด เสด็จพ่อ”
“อะไรกัน แค่นี้ก็งอนแล้วหรือ?”

ไม่มีคำพูดใดๆจากปากของเด็กสาว มีเพียงอาการหลบหน้า และเบ้ปากใส่ผู้สูงศักดิ์เท่านั้น

มหาเทพลูเธอร์ทรงพระสรวลออกมาเบาๆ ก่อนจะเริ่มตัดประเด็นเข้าสู่การประชุมอีกครั้งหนึ่ง เหล่านางฟ้าต่างเชื้อเชิญทั้งฮูเกลส์และเซร่าเพื่อหาที่นั่งฟังการประชุม โดยฮูเกลส์ขึ้นไปนั่งอยู่บนที่ประจำตัวของเขา บนอัฒจันทร์ชั้นสูงที่สุด

ส่วนตัวเด็กสาวนั้นเธอหาได้ขึ้นไปนั่งเคียงข้างบรรลังก์ของผู้เป็นบิดาไม่ แต่กลับหาที่ว่างของอัฒจันทร์ชั้นล่างสุดเป็นที่นั่งฟังการประชุมแทน แม้เทพอาวุโสหลายตนจะมองว่าไม่ค่อยสมฐานะนัก แต่ตัวลูเธอร์เองก็ทราบดีอยู่แล้วว่าลูกสาวตนไม่ได้ยึดติดอะไรกับฐานันดรเท่าไหร่

“เอาล่ะ หลังจากหยุดพักมานานเรามาต่อจากการกระชุมเมื่อเช้านี้กันได้แล้ว”

มหาเทพลูเธอร์กล่าวผ่านอักขระเวทย์มนต์ขยายเสียงให้ได้ยินทั่วถึงทั้งห้องโถง เป็นการเปิดการประชุมรอบบ่าย

“จากผลนิมิตที่ตีความได้ของดาราแห่งซาตาน ที่ท่านฮูเกลส์ได้กล่าวเอาไว้ก่อนหน้านี้นั้น ท่านได้สรุปว่าองค์ซาตานจะลงไปจุติบนโลกมนุษย์ใช่หรือไม่?”
“ใช่พระเจ้าค่ะ! ในยามที่ดาราแห่งซาตานเคลื่อนคล้อยผ่านกิ่งใหญ่ที่สามแห่งอิกดราซิล เมื่อนั้นการจุติของราชันย์ปิศาจจะสำเร็จ”
“เอาล่ะมหาเทพทุกท่าน ข้าต้องการให้พวกท่านแสดงความเห็นของการจุติของพระบุตรแห่งซาตานองค์นี้เสียหน่อยว่า เขาลงไปจุติเพื่ออะไร การจุตินั้นพวกท่านทราบคงทราบกันอยู่แล้วว่า หากมิใช่เรื่องใหญ่คงมิมีผู้ใดกระทำกัน”

เสียงถกเถียงเริ่มกลับมาดังขึ้นภายในมหาวิหารแห่งนี้อีกครั้ง นับจากการประชุมเมื่อเช้า

“จะมีเหตุอันใดเล่า หากมิใช่เพื่อการยึดครองโลกมนุษย์!”
“พวกมันกำลังจะละเมิดสนธิสัญญาระหว่างโลก!”
“ใช่แล้ว! ท่านลูเธอร์ ครานี้ปิศาจคงต้องการกลืนกินโลกเช่นเดียวกับที่พวกมันกระทำกันมาเมื่อครั้งพันกว่าปีที่แล้วกระมั้ง”
เหล่าเทพส่วนใหญ่เอ่ยขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ ความที่เผ่าพันธุ์ของพวกเขาเป็นปฏิปักษ์กับเผ่าพันธุ์ตรงข้ามอย่างปิศาจมานานแสนนาน นับแต่โลกทั้งสิบถือกำเนิดขึ้น ซึ่งก็ไม่มีผู้ใดแน่ใจว่านานเท่าไหร่แล้ว

“แต่สงครามสุดท้ายนั่น มันไม่ใช่ปิศาจเข้ารุกรานดินแดนอื่นนี่ ข้าได้ยินมาว่าพวกเรากับปิศาจต่างช่วยกันปกป้องโลกมนุษย์จากจอมปิศาจผู้หักหลังไซน์นี่นา”

เซร่าเอ่ยแย้งเทพตนหนึ่ง ที่ยกตัวอย่างสงครามเมื่อพันปีที่แล้วขึ้นมา ตำนานนั้นเป็นเรื่องที่ใครๆก็รู้ว่ามีจอมปิศาจผู้หักหลังโลกปิศาจ เข้าบุกทำลายโลกเบื้องล่างขึ้นมา แต่แล้วเหล่ามนุษย์ เทพ และปิศาจที่เหลือต่างช่วยกันสกัดและผนึกมันไว้ได้ก่อนที่หายนะจะมีมากไปกว่านี้ ไม่ใช่การรุกรานของพวกปิศาจอย่างที่เทพตนนั้นว่า

“ท่านเซร่า! แต่ครั้งนี้มหาซาตานที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งจากลูซิเฟอร์ กลับต้องการจุติลงไปบนเทอร์ร่า มันไม่แปลกไปหน่อยรึพะย่ะค่ะ!?”
“นั่นสิ! ข้าก็คิดเช่นนั้น ปิศาจน่ะมีแต่ความกระหายจะยึดครองเท่านั่นแหละ!”

เหล่าเทพอาวุโสต่างพากันเอ่ยอคติที่แต่ละตนมีออกมา เพียงเพราะความแตกต่างของเผ่าพันธุ์ที่ใครก็มิรู้ให้นิยามความตรงข้ามกันไว้ระหว่างดีชั่ว สว่างมืดเท่านั้นเอง ซึ่งตัวเซร่าเองเป็นหนึ่งในเทพไม่กี่คนที่คิดแตกต่างออกไป เธอต่างรู้ว่าปิศาจไม่ได้ร้ายไปเสียทุกตน หากแต่เทพต่างหาก บางคนกลับร้ายเสียยิ่งกว่าปิศาจเสียอีก

“เขาอาจจะมีเหตุผลอื่นใดก็ได้” เซร่ายังคงแย้งต่อ

“ไม่มีทาง! ท่านเซร่า ท่านทรงมองโลกในแง่ดีเกินไปแล้วพะย่ะค่ะ”
“ข้าว่าพวกเราควรจะกันไว้เสียก่อนแก้นะพะย่ะค่ะ”

เสียงถกเถียงคงดังระงมไปทั่วท้องโถงใหญ่ เสียงส่วนใหญ่เห็นด้วยว่า กษัตริย์แห่งความมืดต้องการยึดครองโลกมนุษย์ในอีกไม่ช้า

ท่ามกลางเสียงถกเถียงอันดังระงมกึกก้อง กลับมีเพียงผู้เดียวที่นิ่งเงียบอยู่ตลอดการแสดงความเห็น ความใจเย็นและการตัดสินใจที่ประมวลมาจากความคิดที่ดีแล้วนั้น เป็นความสามารถหนึ่งที่ทำให้เขา ถูกยอมรับโดยทั่วดินแดนแห่งทวยเทพว่ามีความสามารถเพียงพอที่จะปกครองโลกแห่งนี้ได้แม้อายุจะยังหนุ่มก็ตามที
มหาเทพผู้นั่งบรรลังก์ ไม่มีอันใดกล่าว เขารู้ใจบุตรีของตนเองอยู่แล้วว่าเป็นคนอย่างไร ไม่ต้องรอเอ่ยอันใดเดี๋ยวคำตอบของเธอก็ต้องเป็นไปตามที่เขาคาดเป็นแน่แท้ ซึ่งหากเหล่าทวยเทพทั้งหลายยังคงมีความเห็นต้องกันเช่นนี้

“ในเมื่อพวกท่านแคลงใจ”

สิ้นสุรเสียงของเซร่า เหล่าผู้อาวุโสทุกผู้ในมหาวิหารต่างหยุดการหารือกันในทันที ราวกับว่าพระบุตรีผู้งามสง่าที่สุดในดินแดนแห่งทวยเทพผู้นี้จะมีคำตอบหรืออะไรบางอย่างไขข้อกระจ่างและเป็นบทสรุปของการประชุมครั้งนี้แล้ว

แน่นอนว่า ลูเธอร์ เริ่มมีรอยยิ้มเล็กๆปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขา

“ข้าก็จะจุติลงสู่แดนมนุษย์เพื่อไขข้อกังขาของพวกท่าน ตามที่เสด็จพ่อแนะมาก่อนหน้านี้!”

!!!!!

ความโกลาหลครั้งใหญ่ปรากฏขึ้นทันควัน หลากเสียงต่างไม่เห็นด้วยเกรงว่าจะไม่คุ้มที่จะให้พระบุตรีแห่งมหาเทพลงไปเสี่ยงเช่นนั้น

“ท่านตัดสินพระทัยดีแล้วหรือ ท่านเซร่า!?”
“อย่าเลยท่าน ดินแดนเทพมีเหล่าผู้ที่มีพลังมากนับสิบๆตนที่สามารถไปทำกิจนี้แทนท่านได้!”

ขณะที่เหล่าเทพกำลังพยายามห้ามปรามความคิดของเด็กสาวเกศาทองคำ ชายผู้หนึ่งในบรรดาเทพชั้นสูงผู้อยู่บนอัฒจันทร์ชั้นสูงสุดก็ยืนขึ้นทำความเคารพเด็กสาวก่อนจะเอ่ยประโยคสยบความโกลาหลครั้งนี้

“ข้า คิง เนเฟล เทพอาวุโสลำดับที่ห้าแห่งอาณาจักรรูน ขอพระอนุญาตท่านเซร่าเสนอชื่อบุตรแห่งข้าไปกระทำการแทนจะได้หรือไม่?”

ไม่มีเสียงใดเปล่งวาจาออกมาจากทุกผู้ เซร่าเงยมองชายผู้มีเรือนผมสีดำเฉกเช่นเดียวกับบุตรของเขา ดวงเนตรสีเขียวเข้มใส สะท้อนความคิดของเธอได้เป็นอย่างดี

“ถ้าท่านหมายถึง เนเฟลล่ะก็ไม่เป็นไร ข้าไม่จำเป็นต้องให้เขาไปลำบากแทนข้าหรอก”
“แต่พระบุตรีแห่งรูน เรื่องใหญ่เพียงนี้ไม่ได้เหลือบากกว่าแรงเกินไปเลย เนเฟลแม้จะไม่ได้มีพลังเทียบเท่ากับท่านแต่มันจะคุ้มกว่า ถ้าให้ท่านไปเสี่ยงเช่นนั้น”
“ท่าน คิง เนเฟล ข้าเข้าใจท่านนะคะ และข้าก็ขอขอบพระคุณท่านมากที่ท่านห่วงข้าถึงเพียงนี้ แต่ในมุมมองข้าแล้วนั้น ท่านก็เป็นพ่อคนหนึ่ง พ่อไม่ควรเสนอชื่อบุตรของตนเพื่อลงไปกระทำการใหญ่ที่ดูอันตรายเช่นนั้น”

ประโยคที่ดูคมคาย ทำเอาเทพอาวุโสชั้นสูงเงียบไปชั่วครู่ แต่ที่เขาตัดสินใจเสนอชื่อลูกชายตนเองเช่นนั้นก็เพราะ เขาก็มีเหตุผลของตัวเองเหมือนกัน

“ท่านเซร่า ที่ข้าทำเช่นนี้ไม่ใช่เพราะข้าไม่ห่วงเนเฟลนะพะย่ะค่ะ หากแต่ว่ามันเป็นหน้าที่ๆบุตรของข้าควรกระทำต่างหาก อันบุตรของข้าที่ได้รับเลือกให้เป็นเทพอัศวินประจำกายท่านในเมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้เขาก็ควรกระทำในหน้าที่ๆได้รับมา”

เหตุผลของคิง เนเฟลล้วนถูกต้องทุกอย่าง ในสายตาเหล่าทวยเทพแล้ว เขาเป็นมหาเทพอาวุโสผู้หนึ่งที่มีความรับผิดชอบและได้รับความไว้วางใจสูงเกือบที่สุดจากตัวลูเธอร์ นั่นทำให้คำพูดของเขาสามารถชักจูงให้เหล่าเทพตนอื่นๆสนับสนุนความเห็นที่เขาเสนอได้

ทว่า สิ่งเดียวที่ทุกตนไม่ได้นึกถึงนั้นคือ อำนาจการตัดสินใจ ปกติเวลาอยู่ภายในสภากระประชุม พวกเขาใช้การออกความเห็นและจำนวนเสียงสนับสนุนมากที่สุดเป็นสิ่งที่ใช้ตัดสิน ทว่าครานี้เสียงสนับสนุนของพวกเขาต่อให้ เหล่าเทพทั้งหมดในรูนเสนอเป็นเสียงเดียวก็มิอาจต่อต้านอำนาจเบ็ดเสร็จของเซร่าได้

“เสียใจด้วย ท่าน คิง เนเฟล แต่ข้าตัดสินใจแล้ว ข้าต้องการจะลงไปพิสูจน์สิ่งที่เหล่าเทพทั้งหลายกล่าวด้วยตาของข้าเอง ว่าแต่...”
“เสด็จพ่อล่ะ? ท่านเห็นสมควรอย่างไร ในเมื่อท่านอยากให้ข้าลงไปตั้งแรกแล้วกลับทำเงียบเช่นนี้มันไม่เกินไปหน่อยรึ? ”

คำถามที่ส่อแววหาเรื่องของเด็กสาวถูกยิงขึ้นสู่ผู้สูงศักดิ์บนบรรลังก์ ชายวัยกลางคนยิ้มออกมาเล็กน้อย เป็นไปตามที่เขาคาดมาแต่แรกจริงๆ อย่างไรเสียบุตรีหัวดื้อคนนี้หากตัดสินใจอะไรไปแล้วล่ะก็ จะไม่ย้อนเปลี่ยนคำตอบอีก

“ก็ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าจะต้องพูดแบบนี้ เอาล่ะในเมื่อเหล่ามหาเทพทั้งหลายห่วงพระธิดาของข้า ข้าก็ขอขอบคุณ หากแล้วจะส่งผู้ติดตามลงไปสักสองสามคนคงมิขัดต่อทุกท่านกระมัง”

เป็นการตัดสินพระทัยที่ลงตัวที่สุด ไม่มีผู้ใดแย้งขึ้นแม้แต่คนเดียว เด็กสาวยิ้มระรื่นออกมาอย่างเห็นได้ชัด บางทีการลงไปจุติที่โลกมนุษย์ครั้งนี้เธอออาจะมีความต้องการเที่ยวเล่นในโลกอื่นแอบแฝงอยู่ก็เป็นได้ ด้วยเหตุผลแค่นี้มีหรือผู้เป็นพ่อจะไม่รู้นิสัยของลูกสาวตนเอง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น