วันอาทิตย์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2553

ปฐมบทแห่งตำนาน - บทย่อยที่ 3 คำทำนายของโหรกระดูก

เสียงกระพือปีกพังผืดของสัตว์หน้าตาคล้ายหนู นับร้อยพันดังโหมขึ้นรอบๆยอดปราสาทสีดำทมิฬยามค่ำคืน แสงจากจันทราทั้งเจ็ดสีส่องกลาดดาดเดื่อนลงมารวมกันเป็นสีขาวกระทบชายระเบียงของปราสาทสีเทาทึบ ผ่านสายหมอกหนาปกคลุมมหาปราสาทอันโอฬาร เผยให้เห็นร่างๆหนึ่งยืนทอดเนตรออกไปในความว่างเปล่าที่มีเพียงละอองน้ำในอากาศ

ชายตาของร่างนั้นกวาดดูทัศนียภาพอันมืดมัว ก่อนจะละจากไปราวกับเป็นความเคยชินที่เห็นภาพเหล่านี้มานานแสนนาน ทันใดนั้นเขาก็ตัดสินใจเดินย้อนกลับเข้าไปในตัวปราสาท ปล่อยทิ้งไว้เพียงความว่างเปล่าแลเสียงสัตว์แปลกๆร้องระงมยามค่ำคืน

โลกอีกแห่งที่กว้างใหญ่ไม่แพ้ ดินแดนแห่งทวยเทพ โลกแห่งนี้มีศักดิ์เสมอโลกของเหล่าเทพทั้งหลาย อันจัดอยู่ในลำดับที่สองของโลกทั้งสิบที่มหาพฤกษาเชื่อมต่อ เผ่าพันธุ์มนุษย์เชื่อเสมอมาว่า หากมีสิ่งที่เรียกว่า ทวยเทพก็ย่อมมีสิ่งที่ตรงข้ามกับทวยเทพเช่นกัน ซึ่งพวกเขาก็เรียกมัน ปิศาจและอสูร

ดินแดนแห่งนี้ถูกกล่าวขานกันในนามของ โลกปิศาจ

โต๊ะยาวทำจากไม้ขัดมันจนเลื่อมดุจกระจกกำลังถูกเท้าโดยข้อศอกและแขนของหลายผู้ที่นั่งอยู่รอบโต๊ะประชุมตัวนี้ ดูจากใบหน้าของแต่ละตนแล้วสามารถบ่งบอกได้เลยว่าพวกเขาไม่ใช่มนุษย์อย่างแน่นอน แม้บางตนหน้าตาจะเหมือนมนุษย์อยู่บ้าง แต่ปีกค้างคาวด้านหลังทั้งสองปีก เป็นสิ่งยืนยันได้ชัดว่าอย่างไรก็ไม่ใช่

ในขณะที่ร่างสูงที่ดูเหมือนจะเป็นประธานในการประชุมเพิ่งเดินกลับเข้าจากระเบียงภายนอกไม่นานนี่เอง เสียงพูดคุยอันดังระงมก่อนหน้านี้แทบจะเงียบเป็นปลิดทิ้งทันที่ร่างสูงนั้นสาวก้าวกลับเข้ามา อาจจะแปลกและสะดุดตาไปบ้างแต่ผู้ที่น่าจะเป็นประธานของการประชุมครั้งนี้ดูจะอายุน้อยที่สุดในกลุ่มเสียด้วยซ้ำ

เขาเป็นเด็กหนุ่มที่ดูภายนอกอายุไม่น่าจะเกินยี่สิบปีชาวมนุษย์ แต่เบื้องลึกที่ทุกผู้ในห้องนี้รู้สึกได้นั้น บอกว่าเขาไม่ได้มีอายุแค่สิบหรือยี่สิบ

แต่น่าจะเกินสี่ร้อยปีสำหรับเขาคนนั้น

ลุงเลโอลิค ที่ข้าจัดประชุมครั้งนี้เป็นการด่วนนี่ หวังว่าลุงคงชี้แจงเหล่าเสนาธิการและจอมทัพโลกปิศาจได้นะว่า อยู่ๆกลางดึกเช่นนี้ท่านกลับเรียกข้าและพวกเขามาเพราะเหตุอันใด”

เสียงของเด็กหนุ่มผู้นั่งบนเก้าอี้หัวโต๊ะ ผู้ซึ่งเพิ่งเดินกลับเข้ามาเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบในห้องโถงใหญ่ที่มีเพียงแสงจากเชิงเทียนสลัวๆ

โครงกระดูกถือไม้เท้าประดับอัญมณีสีแดงสดตนหนึ่งยืนขึ้น พลางสหันหัวไปทำความเคารพโค้งให้เด็กหนุ่ม ก่อนที่ดวงตากลวงโบ๋นั้นจะติดไฟขึ้นภายใน

“จริงๆแล้วข้าก็ไม่อยากปลุกพวกท่านให้ตื่นมารวมตัวกันในยามวิกาลเช่นนี้หรอกนะ เพียงแต่ว่า เมื่อสักเที่ยงคืน เผอิญข้าได้ไปทำกิจบางอย่างที่วิหารบูชายัญแล้วข้าได้พบกับนิมิตอย่างนึงที่ไม่สู้ดีนัก มันเป็นนิมิตที่ข้าไม่อยากจะเห็น และก็ไม่เคยเกิดขึ้นกับข้าตลอดระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งโหรเลยสักครั้ง”
“ท่านเห็นอะไรรึ? ท่านเลโอลิค” เสียงๆหนึ่งดังถามขึ้นจากนายพลหน้าตาคล้ายวัวกระทิงตนหนึ่ง
“คืนนี้จันทราทั้งเจ็ดเป็นสีเลือดในเวลาเที่ยงคืน ดาราแห่งราชันย์ตกอยู่ท่ามกลางวงล้อมของเส้นแนวแสงทั้งเจ็ด จนทำให้ดารานั้นแปรเปลี่ยนจากความสุกสกาว กลายเป็นมืดดับในที่สุด ก่อนที่จันทราทั้งเจ็ดบริวารจะเคลื่อนคล้อยผ่านกิ่งใหญ่ที่สามแห่งอิกดราซิล กลับมาส่องสว่างเจ็ดสีเจ็ดแสงดังเดิม”

กระดูกชราหยุดพูดพลางกวาดสายตามองสีหน้าของปิศาจแต่ละตน ซึ่งดูเหมือนจะไม่มีใครเข้าใจความหมายของนิมิตบนท้องฟ้าเมื่อตอนเที่ยงคืน ก่อนจะละมาบรรจบที่เด็กหนุ่มชุดดำผู้นั่งหัวโต๊ะเป็นคนสุดท้าย เปลวเพลิงภายในเบ้ากลวงโบ๋ค่อยๆหลี่ลงราวกับเป็นการหลี่นัยน์ตาของเขาให้เด็กหนุ่มหัวโต๊ะได้รับรู้ว่า สิ่งที่เขาจะพูดต่อไปนี้นั้นสำคัญต่อเด็กหนุ่มเพียงใด

“จะมีการผลัดเปลี่ยนบัลลังก์ของจอมราชันย์ปิศาจ!”

!!!!!

เสียงฮือฮาดังขึ้นทันใด จากความเงียบแปรเปลี่ยนเป็นความโกลาหลในที่สุด ผู้ร่วมประชุมนับสิบชีวิตต่างเข้าถกเถียงกัน พลางถามโครงกระดูกชรากลับถึงสิ่งที่เขาได้เอ่ยออกไป

“เป็นไปไม่ได้!!! จะมีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นได้ยังไง!?”
“ใช่! ท่านลูซิเฟอร์เพิ่งสละราชสมบัติให้เจ้าชาย ถึงท่านจะยังทรงพระเยาว์แต่ก็มีความสามารถ เหตุใดจะต้องผลัดเปลี่ยนบัลลังก์ด้วย!?”
“ดินแดนแห่งปิศาจไม่มีสงครามมานับพันปีแล้วนะ นับแต่สงครามครั้งสุดท้าย สงครามของจอมปิศาจผู้ทำลายสี่โลกจบลง ทุกอย่างก็เข้าสู่ความสงบนิรันด์ แลครั้งนี้จะมีการก่อกบฏเกิดขึ้นงั้นหรือ!?”

เสียงฮือฮาแห่งความตื่นตกใจดังสะพรั่งกึกก้องไปทั่วห้องโถง แม้เพียงเปลวเพลิงจากเชิงเทียนก็ยังพริ้วไหวเพียงเพราะเสียงถกกันของเหล่าปิศาจชั้นสูงเหล่านั้น กระนั้นเด็กหนุ่มผู้นั่งเท้าคางอยู่ที่หัวโต๊ะกลับยังคงนิ่งเฉยไร้ปฏิกิริยาตื่นตกใจใดๆเช่นผู้อื่นไม่

เลโอลิค เพ่งเปลวเพลิงในเบ้าตาที่กลวงโบ๋จับจ้องเข้ากับเขา ผู้อยู่หัวโต๊ะยาวราวกับว่า เหตุใดเขาถึงไม่มีอาการอันใดเฉกเช่นเหล่าเสนาธิการหรือจอมทัพ ขุนนางผู้อื่นไม่ จนกระทั่งเด็กหนุ่มผมดำยาวประบ่าผู้นั้นเริ่มเอ่ยประโยคแรกออกมาสยบความโกลาหลภายใน

“ลุงเลโอลิค นิมิตที่ลุงเห็นเมื่อเที่ยงคืนนั้น ความหมายเป็นเช่นนั้นจริงรึ”

เสียงเย็นยะเยือกพร้อมกับจิตดำมืดแผ่ออกมาพร้อมกับคำพูดจนทำเอาผู้ที่อยู่ภายห้องโถงถึงกับสงบปาก บ้างถึงกับจุกจนหายใจไม่ออก

โครงกระดูกหลี่เปลวเพลิงในเบ้าลงเล็กน้อย เป็นสัญลักษณ์ของการหลี่ตาเสมือนผู้ที่มีใบหน้าทั่วไป

“เช่นนั้น พระเจ้าค่ะ ข้าไม่พลาดด้านโหราศาสตร์แน่นอนพระเจ้าค่ะ ข้าขอเอาหัวข้าพร้อมกับตระกูลข้าเป็นประกันได้เลยพระเจ้าค่ะ!”

เสียงฮือฮาดังระงมขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ทุกผู้ถึงกับกล่าวถึงเรื่องของโหรกระดูกที่กล่าวรับประกันเสียเอง นั่นแสดงว่า เลโอลิคมีความมั่นใจมากว่ามันจะเกิดขึ้น

เพราะ เขาถึงกับเอาครอบครัวและเครือญาติร่วมร้อยชีวิตเป็นหลักประกันเลยทีเดียว

คำพูดของเลโอลิคนั้น ยิ่งสร้างความกังวลให้เหล่าเสนาธิการและเหล่าจอมทัพโลกปิศาจทั้งหลาย บางตนถึงกับเริ่มซักถามกันเองถึงสาเหตุและโอกาสที่เป็นไปได้ในการลอบปลงพระชนม์เจ้าบัลลังก์หนุ่ม ผู้ที่เพิ่งได้รับการสืบทอดพระราชสมบัติจากพระราชบิดาเมื่อไม่นานมานี้

แต่นั่นก็ทำก็ได้แค่เป็นกังวลกันไปของเหล่าเสนาธิการและจอมทัพเท่านั้น สาเหตุหนึ่งที่เมื่อเด็กหนุ่มเจ้าของบัลลังก์ยังคงนิ่งเงียบอยู่ได้เพราะ เขาไตร่ตรองแล้วว่ามันเป็นเพียงคำทำนาย แม้จะจากเลโอลิคผู้ที่ได้ชื่อว่า เอ่ยอะไรออกไปย่อมเกิดขึ้นอย่างแน่นอนก็ตาม แต่ในเมื่อมันยังไม่เกิดขึ้นเขาก็ไม่คิดที่จะกังวลไปโดยเปล่าๆ

กังวลไปก็เท่านั้น นิ่งเสียและควบคุมสถานการณ์ให้ผู้อื่นเห็นว่าขนาดเจ้าตัวผู้ที่ตกอยู่ในคำทำนายยังคงนิ่งเฉย ขณะที่ผู้อื่นที่ไม่ได้อยู่ร่วมคำทำนายด้วยจะนิ่งเสียไม่ได้เลยหรืออย่างไร

“ท่าน เลโอลิค สิ่งที่ท่านกล่าวมานั้นจริงหรือ?”

เสียงเด็กสาวคนหนึ่งดังโผล่ออกมาจากมุมมืดมุมหนึ่งของห้องโถงประชุม ชวนดึงสายตาของทุกคนหันไปจับจ้องเจ้าของเสียงผู้สวมผ้าคลุมสีดำปกปิดใบหน้าจรดเท้าแทน มีเพียงแววตาสีอำพันทอประกายต้องแสงเทียนปรากฏอยู่ภายใต้ผ้าคลุมนั้นแทน

“เจ้าเป็นใคร!? เข้ามาในได้ยังไง? ยามหน้าประตูทำอะไรกันอยู่!?”

เสียงเสนาธิการตนหนึ่งตะโกนขึ้นพลางเพ่งสายตามองเข้าไปในความมืดภายใต้ผ้าคลุมนั้น ปิศาจตนอื่นๆก็เช่น กับที่อยู่ๆก็มีแขกไม่ได้รับเชิญมาร่วมวงเสวนาเรื่องวิกฤตของบัลลังก์ราชันย์ด้วยแบบนี้ หลายต่อหลายคนอยากจะเก็บคำนายให้รู้กันเฉพาะผู้นำระดับสูงเท่านั้น พวกเขาเกรงว่าหากรู้ไปถึงหูประชาชนเบื้องล่าง มหานครปิศาจและหัวเมืองอื่นๆจะตกอยู่ในสภาวะสับสนเป็นทวี

แต่ท่าทีเหล่านั้น เด็กสาวในผ้าคลุมหาได้สนใจไม่ กลับกลอกตาเมินไปหาประธานประชุมที่อยู่ลึกสุดเสียด้วยซ้ำ

“หมายความว่านายจะต้องสิ้นบัลลังก์ในไม่ช้าสินะ จะบอกว่าเพราะกบฏรึไง?”
“ไม่รู้สินะ ที่นี่ไม่ได้มีการก่อกบฏมาช้านานตั้งแต่สมัยท่านปู่แล้ว ท่านพ่อเองปกครองไซน์ด้วยทศพิศราชธรรมมาโดยตลอด ชั้นเองแม้จะขึ้นครองบัลลังก์ได้ไม่นาน แต่ก็ไม่คิดใฝ่สงครามนักหรอกนะ โดยเฉพาะกับพวกเทพด้วยแล้ว ยิ่งไม่อยากไปยุ่งด้วย” เด็กหนุ่มตอบกลับ ด้วยสีหน้าปกติไม่ทุกข์ร้อน ก่อนจะเอ่ยต่อประโยคให้ครบใจความ

“กับเรื่องพรรค์นี้ชั้นไม่สนใจด้วยซ้ำไป”

เป็นคำตอบที่ฟังแล้วราวกับว่าเหตุนิมิตที่ผู้เฒ่ากระดูกทำนายไว้นั้น แม้มันจะเกิดขึ้นอย่างไร ชายผู้มีปลายผมเสมอบ่าก็หาได้ทุกข์ร้อนอันใด เขายังคงสงบนิ่งและเย็นชาเหมือนที่เคยผ่านมาให้เหล่าเสนาบดีและจอมทัพทั้งหลายได้เห็นเมื่อสี่ร้อยกว่าปีมาแล้ว

“พระองค์! เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องที่มิอาจละเลยได้นะพระเจ้าค่ะ! ทางที่ดีที่สุดคือเราควรหาหนทางแก้ไขก่อนที่มันจะเกิดึ้นก่อนมิดีกว่าหรือพระเจ้าค่ะ?”นายพลปิศาจผู้มีศีรษะเป็น
เหยี่ยวเอ่ยทักท้วงเด็กหนุ่ม ผู้เป็นเจ้าเหนือหัว พลันเสียงกระซิบกระซาบของความเห็นนานาก็ค่อยๆระงมขึ้นอย่างเงียบๆ ภายใต้การพูดคุยกันเองของเหล่าผู้ร่วมประชุมในห้องนั้น

เว้นเสียแต่ร่างสวมผ้าคลุมผู้เป็นสตรีผู้นั้นกลับสาวเท้าเข้ามาหาเด็กหนุ่มพลางชำเลืองมองเขาด้วยสายตาที่ไม่อาจบอกได้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ กระนั้นราชันย์ปิศาจหนุ่มกลับรู้อยู่แล้วว่าเธอต้องการจะพูดอะไรต่อไป

และเขาก็ชิงตัดเธอพูดเสียก่อน

“หึ หลังจากเธอฟังเรื่องราวแล้ว คงคิดว่าไม่น่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับผู้ถือครอง ‘อาวุธ’ ชิ้นนั้นล่ะสิ อยากจะบอกชั้นว่า ‘นายนี่มันอ่อนหัดขนาดนั้นเชียวหรอ’ ใจจะขาดอยู่แล้วใช่ไหม”

ปึ้ด!

เส้นเอ็นที่ขมับของเด็กสาวแข็งตึงขึ้นทันใดที่เด็กหนุ่มเบื้องหน้าเอ่ยประโยคตัดหน้าเธอเสียก่อนที่ตัวเองจะเป็นคนเอ่ย ร่างในผ้าคลุมหยุดเดินอยู่เพียงเท่านั้น ทำให้ราชันย์หนุ่มรู้ว่าคำพูดและความคิดของเขาถูกต้องอย่างเห็นได้ชัด กลับกันประกายอำพันกลับวาบทออกมาจากเงามืดในผ้าคลุมบ่งบอกว่าแก่เขาว่า สายตาเช่นนี้เป็นสายตาเชิงดูถูกอย่างแน่นอน

“นั่นสินะ นายนี่มันอ่อนหัดขนาดนั้นเลยรึ?”

ชิ้ง!!!

ปลายดาบสีเงินนับสิบเล่มถูกชักออกจากฝักดาบของจอมทัพปิศาจนับสิบตน มุ่งคมสู่เด็กสาวผู้มาเยือนอย่างไม่ใยดี เพียงเพราะคำพูดเชิงดูถูกของเธอ แต่ก็ดูเหมือนว่า ร่างสวมผ้าคลุมนั้นจะยังคงนิ่งเฉยไม่สะทกสะท้านใดๆทั้งสิ้น

“ยัยเด็กบ้า! แกกล้าดูถูกความสามารถขององค์ราชันย์ปิศาจเรอะ! แกเป็นใครกันแน่!? นอกจากนั้นยังมิใช้ราชาศัพท์กับท่านด้วย รู้ไหมว่าโทษนั้นคือ ความตาย!”
“ท่านราชันย์ ข้าคิดว่าเราควรสั่งสอนเจ้าเด็กอ่อนนี่ให้มันรู้จักสัมมาคารวะเสียดีไหม พระเจ้าค่ะ?” ปิศาจตนหนึ่งถามขึ้น

รอยยิ้มกระตุกขึ้นที่มุมปากของเด็กหนุ่ม นัยตาสีแดงเพลิงกระพริบและหลี่ลงเล็กน้อย

“พวกเจ้าทั้งหมด คิดว่าจะสู้เธอคนนั้นได้งั้นรึ”
“ท่านว่าเยี่ยงไรนะ พระเจ้าค่ะ!? กับแค่เด็กอ่อนผู้เดียว พวกข้าไม่คณามือหรอกพระเจ้าค่ะ!” คำพูดของเหล่าจอมทัพโลกปิศาจทั้งหลายนั้นดูจะเป็นการกระตุ้นโสตประสาทของร่างใต้ผ้าคลุมเบื้องหน้าเข้าเสียแล้ว
“หึ เจ้าพวกจอมทัพโลกปิศาจ พวกแกคิดว่ากำลังยืนอยู่เบื้องหน้าใคร?” และคำพูดของเธอก็ดูจะเป็นกระตุ้นฝั่งตรงข้ามเช่นกัน
“ไอ้เด็กนี่!!! อย่าหาว่าพวกข้าไม่ปราณีเลยนะ แก ตายซะเถอะ!”

คมดาบทั้งหมดที่เคยประอยู่ที่บ่าของเด็กสาวถูกวาดลงมาด้วยความเร็วสูง โดยหวังผ่าร่างของเธอออกเป็นสิบๆซีก แต่แล้วร่างสวมผ้าคลุมกลับหายไปจนปลายดาบทั้งหมดฟันเข้ากับพื้นห้องโถงดังเคร้ง

“มันหายไปแล้...”

ฉับ! ฉัวะ!!!!

หัวของเหล่าจอมทัพปีศาจทั้งหมด ขาดกระเด็นในเพียงเสี้ยววินาทีที่พวกเขาเพิ่งลงดาบลงไป โดยไม่ทันแม้จะส่งเสียงร้องหาความเจ็บปวดและทรมาน เลือดสีดำสนิทพุ่งกระฉูดออกจากปลายคอที่ไร้หัวทั้งหมด ร่างไร้วิญญาณล้มทรุดกองลงกับพื้นปล่อยให้โลหิตไหลชโลมพรมสีแดงที่ปูพื้นอยู่จนย้อมเป็นสีดำในทันใด

“วะ เหวอออ!!!”
“ว๊ากกกก!!!”

เหล่าเสนาธิการที่เหลือร้องตะโกนขึ้นด้วยความตกใจสุดขีด เหล่าอัศวินปิศาจที่เหลือเข้าห้อมล้อมเด็กหนุ่มผู้เป็นเจ้าของนัยตาสีแดงเพลิงในทันใด

“คุ้มกันองค์ราชา!”
“ไม่ต้อง ข้าเตือนเจ้าพวกนั้นแล้ว ในเมื่อไม่เชื่อข้าก็ช่วยไม่ได้ ขอให้วิญญาณของเหล่าผู้ภักดีแห่งข้าหวนคืนสู่ดินแดนแห่งวิญญาณ เดอะ สปิริต ด้วยเถิด”

เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นพลางลุกออกจากเก้าอี้ แหวกวงล้อมของเหล่าอัศวินออกมายืนเบื้องหน้า เด็กสาวผู้เพิ่งสังหารเหล่าจอมทัพผู้ภักดีแก่เขาไปเมื่อครู่

“แต่ ไนท์แมร์ ในเมื่อเธอฆ่าเหล่าจอมทัพของข้าไปแล้ว เจ้าก็จำเป็นต้องรับผิดชอบประชุมแทนพวกเขาด้วยก็แล้วกัน”
“เชอะ! ใช่ว่าชั้นจะฆ่าพวกนั้นสักหน่อย มันมาหาเรื่องชั้นก่อนเองนี่”
“แต่เธอต้องรับผิดชอบ รวมถึงในส่วนของครอบครัวพวกเขาด้วยนะ เรื่องมันเริ่มจากคำพูดของเธอแท้ๆเลย ยังไม่รู้ตัวอีกรึ”
“ได้ไง!? ชั้นไม่ได้ฆ่าพวกนั้นด้วยสักหน่อย ทำไมชั้นต้องรับผิดชอบ!?”

กึก!!!

ดวงเนตรสีอำพันของเด็กสาวหยุดชะงักในทันใด เมื่อนัยตาสีแดงเพลิงขยับกลับมาสบอีกครั้ง เด็กสาวเริ่มตัวสั่นพลันกระตุกเล็กน้อย ระบบหายใจเริ่มติดขัด กระแสโลหิตเริ่มไหลเวียนผิดปกติ เธอเริ่มเอามือมากุมที่ต้นคอ เสียงหายใจอันแบ่วเบาแต่กังพอที่จะได้ยิน ดังเล็ดลอดออกมาจากผ้าคลุมที่ปกปิด

“นะ นาย นาย นายยย จะฆ่า ชะ ชั้...”
“หืม เปล่านี่ ชั้นยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ”

รอยยิ้มประกอบกับคำพูดของเด็กหนุ่มเบื้องหน้า ไม่สามารถทำให้เธอเชื่อได้ แววตาสีเพลิงที่ดูแล้วดุจไฟบรรลัยกัลป์ลุกโหมอยู่ภายนั้น บ่งบอกว่าเขากำลังจะฆ่าเธอ หากเธอยังไม่ยอมรับข้อเสนอของเขา

“ท่าน เลโอลิค นั่นมันอะไรน่ะ!?”
เสนาธิการผู้หนึ่งเอ่ยกระซิบถามโครงกระดูกชรา โหรกระดูกมองเด็กหนุ่มอยู่สักครู่ ก่อนจะขยับกรามของเขาเอ่ยคำตอบแก่ผู้ถามคำถาม
“นัยตาต้องสาป ความสามารถที่ติดตัวมาตั้งแต่ประสูติขององค์ราชันย์ ท่านเป็นผู้แรกที่มีคำสาปติดตัวมาตั้งแต่อยู่ในพระครรถ์ของพระมารดา ส่วนเหตุผลที่มานั้น ข้าเองก็มิอาจรู้ได้เหมือนกัน”
“ละ แล้ว ผู้หญิงคนคือผู้ใดหรือท่าน?”
“ไนท์แมร์ สหายเก่าขององค์กษัตริย์น่ะ และในมหานครแห่งไซน์นี้ ผู้ที่มีความสามารถสูงสุดในหมู่ปิศาจก็คงเป็นเธอกระมั้ง”
“ตะแต่ ข้าได้ยินมาว่า ท่านฮาเธนัสส์ผู้ถือครองอาวุธชิ้นนั้น มีพลังมากที่สุดใน...”
“ชู่ว!”

โหรกระดูกชูนิ้วชี้ที่เหลือเพียงโครงนิ้วขึ้นมาชิดปากเป็นสัญญาณให้เสนาธิการผู้นั้นหยุดพูด ก่อนเขาจะค่อยๆกระซิบเสียงแหบแห้งอันแผ่วเบาออกมา

“เด็กสาวผู้ที่ถือครองอาวุธชิ้นนั้นเป็นผู้ทีมีพลังมากที่สุดก็จริง แต่พวกเจ้ารวมไปถึงเหล่าปิศาจทั่วไปที่อาศัยอยู่ในโลกนี้ต่างก็มิมีผู้ใดรู้ว่าแท้จริงแล้วนั้น...”

ทว่ามีเสียงยะเยือกเอ่ยหยุดคำพูดของเลโอลิคเสียก่อน

“ลุงเลโอลิค...”
“ขอประทานอภัยด้วยพระเจ้าค่ะ!”

โครงกระดูกชันเข่าแก่เด็กหนุ่มผู้นั้นเป็นการขอขมาโทษ ท่ามกลางเสียงซุบซิบจะเริ่มมีให้เห็นในเหล่าผู้ที่ยังเหลืออยู่ในห้องนั้น เด็กหนุ่มละสายตาจากไนท์แมร์ ก่อนจะเดินกลับไปนั่งที่หัวโต๊ะอีกครั้ง บรรยากาศตรึงเครียดเมื่อสักครู่เริ่มจางหายไป ก่อนที่คนอื่นๆจะทยอยกลับมานั่งที่เดิมแม้ว่าจะไม่ครบทุกคนแล้วก็ตาม

“แล้วคราวนี้ลุงมีความเห็นอย่างไร ในเมื่อว่ายังไม่รู้ว่าเหตุใดข้าถึงสละบัลลังก์ แล้วการสละบัลลังก์ของข้าครั้งนี้ก็มิรู้จะมีการหลั่งเลือดหรือไม่ด้วย”

สุรเสียงของเขายังคงไม่มีกระแสทุกข์ร้อน

“ตอนนี้ข้าทราบเพียงอย่างเดียวคือ คำตอบทั้งหมดอยู่โลกมนุษย์พระเจ้าค่ะ!”

เป็นคำตอบที่ทำเอาทุกคนในห้องโถงสะอึกหยุดนิ่ง รวมไปถึงไนท์แมร์และเด็กหนุ่มผู้ตกอยู่ในคำทำนายด้วย เขายิ่งเริ่มสนใจในคำทำนายมากขึ้นเสียยิ่งกว่าจะตกอยู่ในความกลัวที่ต้องสละราชบรรลังก์ หรือแม้กระทั่งความตายที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้กับเขาเองเสียอีก

“หืม โลกมนุษย์งั้นรึ ทำไมล่ะ ทั้งๆที่ท่านก็เห็นนิมิตจากจันทราทั้งเจ็ดภายใต้หมู่ดาราเหนือมหานครแห่งไซน์ แต่ท่านกลับบอกว่าคำตอบที่จะสามารถไขข้อให้ข้ากระจ่างได้กลับอยู่ที่โลกมนุษย์”

“การที่จัทราทั้งหมดเคลื่อนแปรจากสีเลือดสู่สีเดิม หลังจากผ่านกิ่งใหญ่ที่สามของต้นไม้แห่งโลกนั่นก็เป็นคำตอบที่ชัดเจนอยู่แล้วพระเจ้าค่ะ!”
“กิ่งใหญ่ที่สามแห่งต้นไม้แห่งโลก ก็หมายความว่า โลกลำดับที่สามใช่ไหมลุง”
“ใช่ พระเจ้าค่ะ!”

ไม่มีเสียงตอบกลับต่อจากองค์กษัตริย์หนุ่มผู้นั้น เขาลุกออกจากเก้าอี้หัวโต๊ะ เดินเข้าประชิดหน้าต่างบานใหญ่ริมห้องโถง ทอดเนตรสู่จันทราทั้งเจ็ดที่บัดนี้กลับมาส่องสว่างเจ็ดสีเช่นเดิมเหมือนที่ เลโอลิค ว่าเอาไว้

เด็กหนุ่มนิ่งเงียบ เขากำลังคิดตริตรองอยู่ ชวนให้บรรยากาศภายในห้องเงียบสงัดขึ้นทันควัน ราวกับว่าทุกคนที่เหลืออยู่นั้นรอลุ้นว่าคำตอบของเขาจะออกมาในรูปแบบใด

“ถ้าเช่นนั้น ข้าก็จะไปโลกมนุษย์”

!!!!!

ความโกลากหลปรากฏขึ้นอีกครั้งหนึ่ง นับเป็นครั้งที่สี่แล้วในการประชุมครั้งนี้ และคราวนี้ดูจะวุ่นวายมากที่สุดเมื่อคำตอบขององค์กษัตริย์หนุ่มฟังดูไม่น่าพอใจนัก ซึ่งมันก็ดูย่ำแย่ที่สุดในความคิดของทุกคน

“ได้โปรด อย่าเสด็จไปเลยพระเจ้าค่ะ โลกมนุษย์นั้นมีอะไรรออยู่ก็มิรู้ได้ บางสิ่งควรมิควร พระองค์ควรตัดสินพระทัยส่งผู้อื่นไปสังเกตการณ์แทนเถิด”
“นั่นสิ พระเจ้าค่ะ! สิ่งที่ท่านมิสมควรลืมไปได้อีกอย่างคือ สนธิสัญญาระหว่างโลกนะพระเจ้าค่ะ โลกทั้งแปดต่างทำสัญญาว่า จะมิบุกรุกแก่กันและกันมานับแต่สิ้นสุดสงครามจอมปิศาจผู้ทำลายสี่โลกแล้วนะพระเจ้าค่ะ!”
“กรุณาตัดสินพระทัย เลือกผู้อื่นเถอะพระเจ้าค่ะ!”

เสียงของเหล่าเสนาธิการและองครักษ์ที่เหลือดังขึ้นอ้อนวอนต่อเด็กหนุ่มเจ้าของนัยตาสีแดงเพลิง แต่กระนั้นเด็กสาวผู้สวมฮู้ดกลับหามีอาการอ้อนวอนเช่นเดียวกันนั้นไม่

เธอถอดฮู้ดออกเผยให้เห็น ใบหน้าอ่อนเยาว์ ราวเด็กสาวชาวมนุษย์อายุไม่เกินยี่สิบปี คมสวยดุจเทพธิดาผิดกับความสามารถที่เพิ่งเผยให้เห็นไปเมื่อครู่ เกศายาวเลยบ่าสีอำพันดุจเดียวกับดวงเนตรต้องประกายแสงจันทร์จนส่องประกาย เธอค่อยๆก้าวเข้ามาองค์กษัตริย์หนุ่มช้าๆ มือเรียวเล็กข้างหนึ่งยกขึ้นช้อนคางผู้สูงศักดิ์เบื้องหน้า

“ชั้นเป็นห่วงนายนะ นายรู้ตัวรึเปล่า?”

เสียงที่เคยฟังดูแล้วน่าเกรงขามอำมหิต ลดเพดานต่ำลงจนกลายเป็นเสียงใสๆราวเด็กสาวธรรมดาๆผู้หนึ่งเท่านั้นเอง

“อย่ามาทำเป็นโรแมนติกแถวนี้ ไนท์แมร์ เรื่องนี้ซีเรียสสำหรับทุกคนนะ แล้วนี่ต่อหน้าทุกคนด้วย เธอยังกล้ามาทำพฤติกรรมแบบนี้อีกรึ แถมอารมณ์ยังเย็นได้อีก”
“แล้วทีนายล่ะ เจ้าชายผู้มีอารมณ์ดุจเทือกผลึกน้ำแข็งแห่งไซท์ไลน์ นายนอกจากจะเป็นเจ้าชายแห่งความมืดแล้วก็ยังเป็นเจ้าชายน้ำแข็งอีกด้วย รู้ตัวรึเปล่า!?”
“แล้วทำไม เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับชั้นคนเดียวเท่านั้น มันเป็นปัญหาของชั้นไม่ใช่ปัญหาของเธอ แล้วก็ใช่ว่าชั้นจะอยากเป็นกษัตริย์สักหน่อย ชั้นเบื่อคำราชาศัพท์ อุตส่าห์บอกให้ทุกผู้กล่าวสามัญก็มิมีผู้ใดกระทำ ก็คงมีแต่เธอกับน้องชั้นกระมั้ง ไม่ก็พวกที่ขึ้นตรงกับชั้นนั่นล่ะถึงจะทำตาม”

ความเงียบกลับเข้าปกคลุมห้องโถงอีกครั้ง คราวนี้เด็กสาวเข้าสวมกอดเขาเสียแทน จนทำเอาผู้อื่นที่เหลือในห้องถึงกับตะลึงกับภาพที่เห็น หล่อนช่างกล้ายิ่งนัก ทุกผู้ทุกคนแดนปิศาจต่างก็รู้ว่า อดีตเจ้าชายนั้นไม่ฝักใฝ่ในความรัก หากแต่ฝักใฝ่ในตำราเรียนเสียมากกว่า จนทำให้อารมณ์เยี่ยงภูเขาน้ำแข็งกลายเป็นอารมณ์ประจำตัวไปเสียแล้ว

“ส่งชั้นไปแทนก็แล้วกัน!”

!!!???

“เธอว่าไงนะ”
“ชั้นบอกว่าส่งชั้นแทนยังไงล่ะ ตานี่เซ้าซี้จริง!”
“ไม่ตลกนะ ไนท์แมร์ จะต้องให้ย้ำกี่ครั้ง นี่ไม่ใช่เรื่องของเธอ”
“แต่ชั้นจะไป! นายมีหน้าที่ต้องปกครองที่นี่ ไซน์ต้องการผู้มีความสามารถ ไงๆชั้นมันก็แค่คนไร้ค่าที่นายมองไม่เห็นคุณค่าคนนึงอยู่แล้ว!!!”

!!!!!

เด็กหนุ่มสะอึกไปชั่วครู่ นัยตาสีเพลิงหลี่ลง ก่อนจะเบือนหน้าหนีประกายแสงอำพันจากฝ่ายตรงข้าม พลางผละตัวออกจากอ้อมกอดของเธอ พฤติกรรมที่เขาผลักเธอออกไปนั้นยิ่งทำให้เด็กสาวแอบสะเทือนใจอยู่ภายในราวกับความหวังอันแสนเนิ่นนานของเธอกำลังจะแตกสลาย

แต่ตัวไนท์แมร์เองนั้นก็รู้ดีอยู่แล้วว่า ไม่ว่าอย่างไร เด็กหนุ่มผู้มีนัยน์ตาสีเพลิงผู้นี้ก็หาได้มีจิตสำนึกเหมือนชายหนุ่มธรรมดาสามัญคนหนึ่งไม่ หลายครั้งที่มีเจ้าหญิงจากหลายอาณาจักรในโลกปิศาจเข้าทักทายและพยายามตีสนิทกับเขา แต่ก็ต้องสิ้นหวังและจากไปหลังจากพวกเธอรู้ถึงนิสัยที่แท้จริงของเขาคือ การให้ความสนใจกับหนังสือในห้องสมุดของพระราชวังมากกว่าเด็กสาวหน้าตาน่ารักๆทั้งหลาย

กระนั้นไนท์แมร์ก็เป็นหนึ่งในไม่กี่ผู้ที่ยังคงไม่ทิ้งความหวังกับเขาคนนี้

ทว่าสิ่งที่เธอหวังนั้นก็ดูจะริบหรี่อีกครั้ง เมื่อเธอได้รับรู้ถึงประโยคที่เด็กหนุ่มเอ่ยต่อไป

“ทหาร เอาเธอผู้นี้ไปขังไว้ที่คุกมืดแห่งเคลธัสสาสธ์ อย่าให้ได้ออกมาต้องแสงตะวันจันทราจนกว่าข้าจะจุติร่างบนโลกมนุษย์ได้สำเร็จ”

!!!!!

เหล่าองครักษ์ที่เหลือด้านหลังวิ่งกรูพร้อมชักกระบี่ข้างกายออกมาล้อมกรอบไนท์แมร์เอาไว้ ประกายอำพันสลายหายไปพร้อมกับแสง
จันทร์ทั้งเจ็ดที่แฝงเร้นในกลีบเมฆที่เคลื่อนคล้อยเข้ามาบดบังยามค่ำคืน

“คิดว่าเจ้าพวกนี้จะหยุดชั้นได้งั้นรึ?”

ประกายแสงในอำพันเนตรที่หายไปนั้น เด็กหนุ่มมีหรือจะไม่รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ แน่นอนว่าเขาคิดเผื่อไปไกลแล้วว่า ควรจะทำอย่างไรต่อไปกับเพื่อนสาวเบื้องหน้า

“ได้สิ ทำไมจะไม่ได้”

สิ้นเสียงของเจ้าของนัยตาสีเพลิง ก็ปรากฏบาเรียร์เกล็ดรูปหกเหลี่ยมสีดำใส ก็ก่อตัวกันเป็นทรงกลมห่อหุ้มรอบตัวไนท์แมร์เอาไว้ คราวนี้แม้ไนท์แมร์จะทุบ หรือร่ายเวทย์จากภายในอย่างไรก็ไม่มีแม้รอยแตกร้าว ราวกับว่ามันแข็งแกร่งและทรงพลังที่สุด

“เวทย์กักขัง ดาร์คเนส เฮกซาแกรมการ์ด!? ตาขี้โกง!!! ปล่อยชั้นออกไปนะ!!!”

เสียงของไนท์แมร์ดังเล็ดลอดออกมาจากภายในพร้อมๆกับเสียงทุบแผ่นเกล็ดหกเหลี่ยมเวทย์มนต์ มองจากภายนอกตอนนี้เธอเป็นเหมือนกับลูกแมวน้อยในกรงตัวหนึ่งเท่านั้นเอง

“ไม่ต้องห่วงไนท์แมร์ ดาร์คเนส เฮกซาแกรมการ์ดจะหายไปเมื่อเธอเข้าไปอยู่ในคุกแล้ว ชั้นจุติสำเร็จเมื่อไหร่ ชั้นจะฝากทหารปล่อยเธอละกัน”
“ไม่!! ไม่ได้ อย่าไปนะ อย่าไป! นายจะไปไม่ได้นะ!!!”
“...”
“อย่าไปนะตาบ้า!!! ชั้นเห็นนะอนาคตน่ะ!! นายก็รู้ว่าชั้นเป็นใคร ชั้นเป็นฝันร้าย ฝันร้ายที่ชั้นเห็นน่ะ...นายจะ...”
“พาไปได้แล้ว ข้าไม่ต้องการให้เธอผู้นั้นอยู่ตรงนี้อีก”

ไม่ทันที่เด็กจะกล่าวอันใดต่อ เธอก็ถูกเหล่าองครักษ์พาตัวออกไปทั้งๆที่ยังอยู่ในกรอบของเวทย์มนต์ พลันเสียงปิดประตูโถงประชุมดังปัง ภาพสุดท้ายที่เธอเห็นคือนัยตาสีเพลิงที่บ่งบอกออกมาเป็นคำพูดได้ว่า ขอโทษนะ

“ฮึก..ฮึก ฮือ นะ นาย นายจะ...”

หยาดน้ำตาหยดเล็กๆเริ่มก่อตัวที่ขอบเบ้าของเด็กสาวขณะถูกคุมตัวไปยังคุกมืดใต้ดิน ก่อนจะเริ่มหลั่งไหลพรั่งพรูออกมาเป็นสายธาร ดุจน้ำตกแห่งความเศร้า เธอกำลังเสียใจกับทุกสิ่ง ทุกสิ่งที่เป็นสาเหตุที่ทำให้เขาไม่เคยฟังเธอเลย

“นายจะตายนะ...”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น