วันเสาร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2553

ปฐมบทแห่งตำนาน - บทย่อยที่ 2 การตัดสินใจของนางฟ้า

ห่างออกไปไกลแสนไกลจากโลเลนเซียร์ ยังมีดินแดนอีกแห่งที่ปราศจากการรบรามานานแสนนานนับพันๆปี สถานที่อันซึ่งมีศักดิ์สูงกว่าโลกมนุษย์ การจะเดินทางมายังที่นี้จำเป็นต้องผ่านต้นไม้แห่งโลกหรือ เดอะ อิกดราซิล ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับมนุษย์ เหตุเพราะการข้ามผ่านอิกดราซิลนั้นจำเป็นต้องใช้พลังเวทย์หรือ ที่เหล่ามนุษย์ผู้ที่มีพลังเวทย์เรียกกันว่า พลังมานา เพื่อการคงกายเนื้อเอาไว้ สายใยแห่งอิกดราซิลจะสูบพลังมานาสิ่งใดก็ตามที่ผ่านลำต้นของมัน ยิ่งเป็นดินแดนที่อยู่ใกล้ยอดของต้นไม้แห่งโลกก็ยิ่งสูบมานามากเป็นเท่าทวี ขณะที่จุดที่กิ่งก้านแห่ง อิกดราซิล เชื่อมต่อนั้น บนโลกนี้ก็มิมีผู้ใดทราบถึงที่ตั้งของมัน ทำให้ตราบจนทุกวันนี้ก็ยังหาผู้ใดที่ตามหาตำนานต้นไม้ยักษ์ต้นนี้ได้

ทว่าสิ่งมีชีวิตที่อยู่บนโลกที่มีศักดิ์สูงกว่าโลกเบื้องล่างนั้น จะมีพลังมานาเพียงพอแก่การเดินทางข้ามสายใยแห่งต้นไม้ยักษ์นี้ได้ แม้อิกดราซิลจะสูบมานาออกไปหล่อเลี้ยงกระแสพลังเวทย์ในทั้งสิบโลกที่มันเชื่อมต่อ แต่ก็เพียงพอแก่การเดินทางข้ามลงมาของสิ่งมีชีวิตชั้นสูง

โลกอันไร้ซึ่งสงครามแห่งนี้ถูกจัดเป็นลำดับที่สองจากทั้งสิบโลกที่อิกดราซิลเชื่อมต่อ โลกมนุษย์นั้นอยู่ในลำดับที่สาม เป็นที่ชัดแล้วว่าพวกมนุษย์มิอาจย่างกรายเข้ามาในโลกแห่งนี้ได้ โลกที่มีดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่เหล่ามนุษย์เชื่อและศรัทธา

ดินแดนแห่งทวยเทพ

เสียงน้ำตกไหลซู่ลงสู่เบื้องล่างของปราสาทลอยฟ้าเหนือปุยเมฆสีขาวสะอาดตา ลำแสงรำไรสาดส่องเป็นลำทอดยาวเข้ามาตามแนวของวิหารเล็กๆที่อยู่ในส่วนปลายของเขตปราสาทสีขาวบริสุทธิ์นั้น เด็กสาวผู้มีเส้นเกศาสีทองคำยาวจรดน่องผู้หนึ่งกำลังยืนพิงเสาวิหารพลางกวาดสายตามองออกไปนอกปราสาท กลีบเมฆมากมายกำลังลอยไปมาราวกับการวิ่งซนของเด็กๆก็มิปาน

กับวันธรรมดาๆที่ไม่มีอะไรทำของเด็กสาวคนนั้น แม้เพียงได้ดื่มด่ำกับทัศนียภาพที่แม้จะเห็นจนชินตามาเกือบสี่ร้อยปี แต่มันก็เพียงพอสำหรับเธอแล้ว

ภาพเก่าๆ ทำให้หวนคืนนึกถึงวันเก่าๆ ปราสาทแห่งนี้อยู่ในสภาพนี้มานานแสนนานจนเธอเองก็แทบจะจำไม่ได้แล้วว่าเหล่าทวยเทพและนางฟ้าผู้รับในใช้ในปราสาทนั้น วิ่งปีกแทบจนชนกันเป็นชุลมุนครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่

ด้วยพลังชีวิตที่เนิ่นนานกว่ามนุษย์โลกย่อมทำให้เกิดความเบื่อหน่ายเป็นธรรมดา บางทีการได้เป็นมนุษย์ที่มีช่วงชีวิตที่สั้นกว่านี้หลายเท่าอาจจะไม่น่าเบื่อขนาดนี้ก็ได้ เพราะพวกเขาได้เรียนรู้ยังไม่ทันจะครบทุกสิ่งบนโลกก็ดับสิ้นกันไปเสียก่อน เทียบกับดินแดนแห่งทวยเทพแล้วถึงแม้โลกแห่งนี้กว้างใหญ่ไพศาลกว่าโลกมนุษย์ แต่สภาพจำเจที่มีปุยเมฆ และเกาะลอยฟ้าอยู่ทั่วไป นั่นก็ไม่ต่างอะไรกับการอยู่ที่เดิม

เบื้องล่างของชั้นปุยเมฆยังมิเคยมีเทพตนใดบินเหินลงไปสำรวจ พวกเขาพึงพอใจกับการใช้ชีวิตอยู่บนเกาะลอยฟ้าแค่นั้นก็พอแล้ว
ทวยเทพเป็นเผ่าพันธุ์หนึ่งที่ขาดการกระตือรือร้นการสำรวจสิ่งใหม่ๆไม่เหมือนกับเผ่าพันธุ์มนุษย์ กับเผ่าพันธุ์ที่อ่อนแอกว่า แต่มันสมองมิได้น้อยไปกว่ากันนั้น บุกน้ำลุยไฟ มนุษย์ยังกระเสือกกระสนที่สำรวจดินแดนหรืออารยธรรมใหม่ๆอยู่เสมอ

แต่ก็ไม่ใช่เทพทุกตนเสมอไป และอย่างยิ่งโดยเฉพาะกับเด็กสาวผู้นี้ เธอกำลังคิดอยู่ในหัวพอดีว่า วันว่างๆอันแสนน่าเบื่อนี้ เธอน่าจะลองกางปีกบินลึกลงไปใต้ชั้นเมฆเสียหน่อย ความน่ากลัวหรือนิยายปรัมปราต่างๆที่เทพอาวุโสชอบเล่าบ้าง แต่งบ้างว่า ใต้ปุยเมฆขาวโพลนนั้น มีสิ่งที่เรียกว่า อสูร อยู่ ไม่ได้ช่วยให้เธอเกรงกลัวเอาเสียเลย เหตุเพราะบางทีพวกเขาอาจจะเล่าให้เธอคนนี้ฟัง ตอนนั้นสีหน้าการแต่งเรื่องอาจจะไม่เนียนพอทำให้เธอจับได้ก็เป็นได้

ตึก!

กระนั้นกลับมีเสียงสาวเท้าดังเข้ามาจากภายในวิหาร ใกล้จนกระทั่งมันขัดจังหวะอารมณ์ของเธอ จนเล่นเอาเด็กสาวหลุดออกมาจากภวังค์ยามบ่าย ปลายตามองผู้ที่บังอาจเข้ามาขัดจังหวะความสุขของเธอทันควัน

เขาเป็นเด็กหนุ่มผมดำยาวประบ่า มีดวงเนตรสีดำเทา เมื่อเห็นแล้ว เด็กหนุ่มพลันนั่งชันเข่าทันทีที่เด็กสาวผู้นั้นสบตาเขา ก่อนที่จะเอ่ยประโยคแรกออกมา

“การประชุมเหล่าเทพกำลังจะเริ่มขึ้นในไม่ช้านี้ มหาเทพลูเธอร์ต้องการให้องค์หญิงเข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ด้วย พะย่ะค่ะ!”

เธอชำเลืองปลายตาเล็กน้อย ราวกับส่งนัยให้กับผู้มาเยือนว่า ไม่มีเหตุผลใดที่เธอต้องเข้าร่วมการประชุมที่มีแต่เหล่าเทพอาวุโสเช่นนั้น จากดวงเนตรเนตรสีเขียวมรกตคู่นั้นทำให้ ก่อนจะหันกลับไปมองทะเลเมฆเบื้องหน้าอีกครา
เด็กหนุ่มดูเหมือนจะรู้คำตอบดีว่าท่าทีแบบนั้น หมายความว่าอย่างไร

“แต่ มหาเทพท่านทรงกำชับข้ามาให้พาท่านให้เข้าร่วมการประชุมให้ได้พะย่ะค่ะ โปรดเห็นแก่หน้าที่ข้าด้วยเถิดพะย่ะค่ะ”
“...”
“หากท่านมิอาจไป ข้าจำเป็นต้องขอพระอนุญาตใช้เวทย์มนต์กักตัว และพาท่านไปนะ พะย่ะค่ะ!”

ชิ้ง!!!

ราวกับเวลาหยุดนิ่งไปชั่วครู่ แน่นอนว่าเด็กหนุ่มผู้นำสาร์นรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่างที่ปลดปล่อยออกมาจากกายสาวอันเนียนละเอียดเบื้องหน้าของเขา ความรู้สึกบางอย่างบ่งบอกเป็นสัญชาตญาณแก่ตนว่า ประโยคพูดของเขาคงไปสะกิดต่อมอะไรสักอย่างของเธอเข้า

เด็กสาวละสายตาเหลือบมองร่างของผู้ส่งสาร์นที่ชันเข่าตรงหน้า ก่อนจะเอ่ยประโยคแรกของเธอขึ้นมาทำลายความเงียบ
“คิดว่า เจ้าจะผนึกข้าได้หรือ? บุตรแห่งเนเฟล แม้บิดาของเจ้าจะเป็นถึงสหายร่วมรบกับพระบิดาและพระอัยกาของข้าในสงครามจอมปิศาจผู้ทำลายสี่โลกเมื่อพันกว่าปีที่แล้วก็ตาม จริงอยู่ที่สายเลือดของเจ้า มีความเป็นเลิศทั้งเชิงเวทย์และเชิงยุทธ์ แต่...”

เปรี๊ยะๆๆๆ!!!

วงเวทย์รูปวงกลมสลักอักขระแห่งทวยเทพสีทองคำใส ปรากฎขึ้นและลอยหมุนอยู่รอบๆข้อมือของเด็กสาวผมสีทองอร่าม เส้นเกศาเริ่มเปล่งแสงสว่างจนแสบตา สะเก็ดไฟสีทองคำของเส้นเกศาบิดพลิ้วปลิวละล่องไปกับสายลม ยิ่งเสริมความน่าเกรงขามของผู้ที่อยู่เบื้องหน้าของเด็กหนุ่ม เขาเหงื่อแตกซิก ทำตัวไม่ถูก บางทีประโยคที่เอ่ยออกไปก่อนหน้านี้จะนำมาซึ่งความไม่พอใจไม่น้อยเลยทีเดียว

“โปรดหยุดเถิด ท่านเซร่า...”

เสียงของชายวัยกลางคนผู้หนึ่งดังขัดขึ้นที่มุมอับแสงในวิหาร เนเฟล และ เซร่า หันควับไปมองร่างทะมึนที่กำลังเดินพ้นเงานั้นออกมาปรากฏกาย ท่ามกลางลำแสงที่ลอดผ่านกลีบเมฆเบื้องบน

เขาเป็นชายวัยกลางคนผู้มีเกศาสีบรอนซ์สะท้อนแสงอาทิตย์ยามบ่ายเป็นประกาย ปีกสีขาวทั้งสี่ดุจเดียวกับปุยเมฆเบื้องหลังนั้นสื่อได้เลยว่าเขาเป็นเทพชั้นสูง ผู้เป็นหนึ่งวุฒิสมาชิกในสภาของเหล่าทวยเทพที่ปกครองโลกแห่งนี้อย่างแน่นอน

โดยมีองค์ มหาเทพลูเธอร์ ผู้สืบเชื้อสายมาจากมหาเทพตนแรกผู้จุติลงบนดินแดนแห่งทวยเทพแห่งนี้

แม้ดินแดนแห่งทวยเทพจะกว้างใหญ่ไพศาลอย่างที่เหล่าเทพรู้จักกันดี แต่ไม่ว่าจะส่วนไหนหรือเกาะใดๆของดินแดนนั้น ก็จะขึ้นตรงกับมหานครลอยฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในโลกแห่งนี้

ชื่อของมันก็คือ มหานคร เอร์กรอส

และเกาะที่อยู่สูงที่สุดในเขตของเอร์กรอสก็คือเกาะลอยฟ้า อันป็นเขตพระราชวังและวิหารที่พวกเขายืนอยู่นั่นเอง
พระราชวังในรูปแบบปราสาทอันมีประวัติศาสตร์ยาวนานและมีสีขาวโพลนกลมกลืนกับทิวทัศน์รอบๆนามของมันถูกขนานว่า วัลฮัลล่าห์

โดยเฉพาะกับวิหารนี้ ซึ่งอยู่ส่วนปลายของเกาะทางทิศตะวันตกของที่ตั้งปราสาทวัลฮัลล่าห์ ส่วนนี้เป็นจุดที่สูงที่สุดในเขตปราสาท นั่นหมายความว่า มันเป็นจุดยอดที่สูงที่สุดในดินแดนแห่งทวยเทพด้วย

วิหารประจำตัวที่ถูกสร้างขึ้นเมื่อหลายร้อนปีก่อนเพียงมหาเทพธิดาเพียงองค์เดียว เพียงเพื่อสนองความต้องการในการพักผ่อนหย่อนใจของเธอ ซึ่งก็คือเด็กสาวผมทองคำคนนี้นั่นเอง

ท่านฮูเกลส์!!!”

เนเฟลโพล่งด้วยความตกใจ พร้อมๆกับทำความเคารพด้วยการยกแขนขวาตั้งฉากกับลำตัว ชายวัยกลางคนผู้มีเกศาสีบรอนซ์สั้นเบื้องหน้าดูอาวุโสยิ่งนักต่อหน้าเทพหนุ่มเนเฟล ทว่าเป้าหมายของฮูเกลส์กลับมิใช่เนเฟล แต่เป็นผู้ที่มีประกายผมส่องแสงสีทองอร่ามเบื้องหลังแทน

สายตาของทวยเทพอาวุโสผู้มาใหม่บ่งบอกกับเด็กสาวเช่นนั้น

แถมยังบ่งบอกเป็นนัยลึกๆแก่เธอด้วยว่า สาเหตุที่เขามาที่นี่ก็คงมิใช่เรื่องอื่นใด เสียนอกจากเรื่องเดียวกับที่เนเฟลนำมาหาเธอ

“ลุงฮูเกลส์? อย่าบอกนะว่า ลุงก็มาด้วยเหตุเช่นเดียวกับเนเฟล”
“ใช่แล้วพะย่ะค่ะ สมกับที่เป็นท่านเซร่า องค์หญิงผู้มีศักดิ์ในการสืบทอดบัลลังก์แห่งดินแดนเทพ ข้าก็คาดเดาได้อยู่แล้ว่าเนเฟลคงขอร้องท่านมิสำเร็จ ดังนั้นข้าก็ต้องมาหาท่านด้วยตัวเอง และเหตุที่ท่านต้องเข้าร่วมประชุมเหล่าเทพอาวุโสครั้งนี้ก็เพราะว่า...”

ฮูเกลส์หยุดกึกไปสักครู่ พลางสบดวงเนตรสีเขียวเข้มดุจผืนป่าดงดิบนั้น

“เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก รายละเอียดท่านจำต้องไปฟังเองในการประชุม ถ้าหากให้ข้าเล่าคงไม่ไหว ซ้ำเรื่องนี้ก็ยังหารือกันมิจบ แต่ที่แน่ๆ ท่านลูเธอร์ พระบิดาของท่าน ตัดสินพระทัยส่งท่านลงไปจุติบนโลกมนุษย์!”

!!!!!

ความเงียบเข้าครอบงำสามเทพกลางวิหาร โดยเฉพาะกับเด็กสาว เธอพูดอะไรไม่ออก แม้เพียงจะถามเหตุผลของการตัดสินใจของพระบิดาของเธอก็ยังมิอาจนึกได้ทัน

ประกายผมและสะเก็ดเพลิงสีทองค่อยๆสลายหายไป เกศาที่เคยเรืองอร่ามหลี่ออร่าลง จนเหลือเพียงเป็นสีทองคำธรรมดาๆ แสดงถึงความรู้สึกของผู้ที่ถูกขนานนามว่าองค์หญิงได้เป็นอย่างดี

ครานี้เธอคงไม่มีอารมณ์ที่จะเอาเรื่องเด็กหนุ่มผู้นำสาร์นแล้วแต่อย่างใด กลับกันคำตอบของผู้ที่ชื่อว่าเป็นพ่อของเธอกลับทำให้เธอหลุดสติไปเสียมากกว่า

“จุติ!? เพื่ออะไรลุงฮูเกลส์? หากมิใช่เรื่องใหญ่ เสด็จพ่อคงไม่ตัดสินพระทัยเช่นนี้กระมั้ง”

เซร่า ถามขึ้นด้วยเสียงกึ่งสงสัยกึ่งตกใจ เป็นที่รู้กันดีในดินแดนแห่งทวยเทพว่า การจุติ มีความหมายสำคัญแค่ไหน การจุติคือการโอนถ่ายพลังมานาทั้งหมดในร่างของเทพ แล้วส่งผ่านต้นไม้แห่งโลกไปยังดินแดนที่ต้องการถือกำเนิด ร่างที่ถือกำเนิดใหม่นั้นจะคงพลังมานาที่โอนถ่ายมาทั้งหมดเอาไว้ ความสามารถทุกอย่างก่อนที่จุติจะยังคงอยู่เช่นกัน เพียงแต่ในระยะสิบห้าปีแรกของการจุติ จะไม่สามารถเรียกคืนความทรงจำก่อนจุติได้ นั่นเป็นจุดอ่อนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ทว่าข้อดีที่เหล่าเทพต่างรู้กันก็คือ การจุตินั้น สามารถคงสภาพพลังทั้งหมดเอาไว้ได้ จนกว่าร่างนั้นจะสูญสลายไปตามอายุขัย

“ส่วนสาเหตุที่ต้องส่งท่านไปนั้นอาจเป็นเพราะ ช่วงเวลานี้ ท่านเป็นผู้ที่มีพลังมากที่สุดในดินแดนเทพ”

ฮูเกลส์ตอบกลับ แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าหญิงเกศาทองคำอยากรู้ เธอกำลังมองว่าเขาบ่ายเบี่ยงหัวข้อการสนทนา

“นั่นไม่ใช่ประเด็น ลุงฮูเกลส์! ข้าต้องการรู้ว่าเหตุใดถึงต้องส่งจุติเทพเช่นข้าลงไปยังโลกมนุษย์!”
“หากท่านถามรายละเอียดข้าเช่นนี้ ข้าแนะนำว่า ท่านควรไปร่วมประชุมเหล่าเทพ กับข้าเสียตอนนี้จะได้เรื่องได้ราวกว่า”

ฮูเกลส์ส่งยิ้มให้เด็กสาว พลางเดินนำเธอออกไปด้านหลังของวิหาร แน่นอนว่ามีทางเดียวที่จะทราบเหตุผลครั้งยิ่งใหญ่นี้คือ เธอต้องตามเขาไปร่วมประชุมเหล่าเทพด้วยเท่านั้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น