วันอาทิตย์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2553

ปฐมบทแห่งตำนาน - บทย่อยที่ 4 การประชุมของเหล่าทวยเทพ

เสียงน้ำตกหลากชั้นไหลรินลดหลั่นลงมากระทบสระกว้างเบื้องล่างส่งเสียงซ่าไม่ขาดสาย ชายวัยกลางคนผู้มีผมสีบรอนซ์เดินนำหน้าเด็กสาวเจ้าของเกศาทองคำเบื้องหลัง ผ่านสวนสวรรค์ที่ประดับประดาไปด้วยไม้เลื้อยสีเขียวสด แลดอกกุหลาบหลากสีสัน ลัดเลาะไปตามขอบสระน้ำใหญ่ที่รวมเอาสายน้ำตกจากส่วนต่างๆของพระราชวังลอยฟ้าแห่งนี้เอาไว้
ไม่มีการสนทนาระหว่างทางที่ผ่านมา ดูเหมือนผู้นำทางจะรู้สึกได้ถึงอารมณ์ของผู้อยู่เบื้องหลังได้เป็นอย่างดี แม้จะมิใช่อารมณ์โกรธเคือง แต่ก็มิใช่อารมณ์ปกติเช่นกัน

ในหัวของเซร่านั้น เธอยังคงคิดไม่ตกกับการตัดสินพระทัยของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นพระบิดา ซ้ำยิ่งเธอยังไม่ทราบเหตุผลทั้งหลายด้วยยิ่งแล้วใหญ่

เหล่าผู้อาวุโสแห่งดินแดนเทพประชุมเรื่องอะไรอยู่กันแน่? เหตุใดมหาเทพลูเธอร์ พระบิดาของเธอถึงตัดสินพระทัยเช่นนั้น หรือว่าบางทีอาจเกิดเหตุการณ์วิกฤตอะไรสักอย่างในระดับที่จอมเทพจำเป็นต้องลงมากำกับการประชุมและตัดสินทุกอย่างด้วยตนเอง
โดยปกติแล้ว ลูเธอร์ ไม่เคยยื่นมือเข้ามายุ่งในสภาของเหล่าเทพชั้นสูงและขุนนางทั้งหลาย การปกครองบ้านเมืองจะถูกหารือภายในที่ประชุมจนเสร็จสิ้น ยกเว้นเป็นกรณีวิกฤตหรือเหตุการณ์ที่อาจจะนำพาเผ่าพันธุ์แห่งเทพไปสู่หายนะ กรณีเหล่านั้นถึงจะถูกส่งต่อไปหาตัวลูเธอร์เอง

กลับกัน ครานี้ตัวเขากลับเข้าร่วมการประชุม ทั้งยังทำหน้าที่เป็นประธานการประชุมตั้งแต่เปิดวาระการประชุมเสียด้วยซ้ำ เหตุการณ์เช่นนี้เซร่าไม่เคยเห็นมาก่อนนับแต่ที่เธอเริ่มจำความได้
ซึ่งนั่นก็เป็นเวลามากว่าเกือบสี่ร้อยปีได้แล้ว

ผ่านสระสวรรค์ข้ามผ่านสู่ราชวังชั้นใน เหล่าทหารสวมเกราะอัศวินทองคำ ผู้มีปีกสีขาวนวลตาอยู่ด้านหลังสองปีก รีบกระทำความเคารพผู้มาเยือนชั้นในทั้งสอง เหล่านางกำนัลชั้นในต่างหุบปีกด้านหลังพลางยกชายกระโปรงสีขาวขึ้นแทนการยืนตรงเช่นเหล่าอัศวิน

“รู้สึกวันนี้นางฟ้าจะเยอะผิดปกตินะคะ”

หลังจากนิ่งเงียบมานาน เด็กสาวถึงเริ่มเอ่ยประโยคแรกออกมาเป็นคำถามยิงใส่เทพอาวุโสเบื้องหน้า

“เพราะ ว่าการประชุมครั้งนี้สำคัญมากพะย่ะค่ะ การประชุมที่ยาวนานนี่ก็เริ่มมาตั้งสองสามวันมาได้แล้ว เหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายต่างก็ยังมิได้หยุดพักเลย มิแปลกที่จะต้องมีนางฟ้ามากมายเพื่อนผลัดเปลี่ยนการปรนนิบัติ”
“สองสามวันเลยรึลุง? ทำไมข้ามิรู้เล่า?”
“ก็เมื่อห้าวันที่แล้วท่านออกจากวัลฮัลล่าห์ ลงไปยังมหานครเอร์กรอสมิใช่หรือ? แล้วท่านก็เพิ่งกลับมาวันนี้เมื่อเช้า แถมยังมิได้เข้าเฝ้าท่านลูเธอร์ด้วย!”
“ละ ลุงรู้ได้ไงน่ะ!?”
“ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ มีรึที่ข้าจะไม่รู้การเคลื่อนไหวของพระธิดาแห่งทวยเทพ ผู้มีพลังมากที่สุดในอาณาจักรรูนน่ะ!”
“นี่ลุงละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวผู้อื่นหรือคะ? ทำไมต้องติดตามดูข้าด้วย”

ฮูเกลส์หยุดเดินกะทันหันจนทำเอาเซร่าต้องหยุดไปด้วย แม้เพียงไม่กี่ก้าวเบื้องหน้าของพวกเขาก็คือ มหาวิหารอันสูงตระหง่าน อันที่เป็นประชุมของเหล่าทวยเทพระดับสูงทั้งหลายแล้ว

“ข้าไม่ได้อยากละเมิดหรอกพะย่ะค่ะองค์หญิง แค่มันเป็นความต้องการขององค์กษัตริย์เทพเท่านั้นเอง”

ประโยคที่ทำเอาเด็กสาวอึ้งจนพูดไม่ออกไปสักครู่ ก่อนจะต้องรีบก้าวตามฮูเกลส์ผ่านประตูบานใหญ่เข้าไปยังลานกว้างโถงประชุมที่มีเพดานสูงเป็นสิบๆเมตร เหล่าเทพอาวุโสแต่ละตนนั่งอยู่บนชั้นอัฒจันทร์ต่างๆที่ลดหลั่นไปตามระดับของตนเอง เบื้องหน้าเทพทั้งสองไกลออกไปเป็นบรรลังก์ประดับอัญมณีที่ถูกยกพื้นสูงกว่าชั้นอัฒจันทร์ทั่วไป มีชายผู้มีเครายาวผู้หนึ่งนั่งประทับอยู่ มงกุฎทองคำประไพลินเม็ดใหญ่บนศรีษะบ่งบอกถึงบรรดาศักดิ์ได้เป็นอย่างดี เขาใช้มือข้างหนึ่งลูบเคราสีทองดุจเดียวกับสีผม ทอดเนตรสู่อาคันตุกะใหม่ทั้งสองเบื้องล่างบนลานกว้าง

ฮูเกลส์และเซร่านั่งชันเข่าข้างหนึ่ง เป็นการทำความเคารพ ก่อนจะกลับมายืนขึ้นอีกครั้ง

“เซร่า เจ้าออกไปจากวัลฮัลล่าห์โดยมิกล่าวอันใดกับข้าก่อน แม้เพียงขออนุญาตเจ้าก็มิได้มาขอ เจ้าลงไปเอร์กรอสเช่นนี้ คงมีเหตุจำเป็นที่พอจะแก้ตัวได้กระมัง?”

ท่ามกลางความเงียบ ชายผู้นั่งบรรลังก์เอ่ยกล่าวคำถามทำลายความว่างเปล่าแก่ผู้อยู่เบื้องล่างเป็นอย่างแรก ดวงเนตรสีฟ้าจับจ้องอยู่ที่เด็กสาวไม่ลดละ

“ข้าลงไปยังเอร์กรอสก็เพื่อตรวจตราเหล่าพสกนิกร มันผิดด้วยหรือที่ข้ามิได้ขอพระราชอนุญาตท่าน เสด็จพ่อ?”
“แก้ตัวได้ดีนี่ บุตรีแห่งข้า จริงๆแล้วจุดประสงค์แอบแฝงมิใช่เพื่อลงไปเที่ยวเล่นหรอกรึ?”

เป็นประโยคที่แสบถึงทรวงของเซร่าไม่น้อยเลยทีเดียว ดูเหมือนมันจะเป็นความจริงอย่างที่ลูเธอร์กล่าว เพราะเด็กสาวผู้มีเกศาทองคำยาวจรดน่องจะหยุดเงียบไปสักพัก ราวกับว่าความจริงที่เธออยากปิดซ่อนมันไว้ถูกตีแตกจนกระจาย

“หากท่านดำริเช่นนั้น ก็แล้วแต่ท่านเถิด เสด็จพ่อ”
“อะไรกัน แค่นี้ก็งอนแล้วหรือ?”

ไม่มีคำพูดใดๆจากปากของเด็กสาว มีเพียงอาการหลบหน้า และเบ้ปากใส่ผู้สูงศักดิ์เท่านั้น

มหาเทพลูเธอร์ทรงพระสรวลออกมาเบาๆ ก่อนจะเริ่มตัดประเด็นเข้าสู่การประชุมอีกครั้งหนึ่ง เหล่านางฟ้าต่างเชื้อเชิญทั้งฮูเกลส์และเซร่าเพื่อหาที่นั่งฟังการประชุม โดยฮูเกลส์ขึ้นไปนั่งอยู่บนที่ประจำตัวของเขา บนอัฒจันทร์ชั้นสูงที่สุด

ส่วนตัวเด็กสาวนั้นเธอหาได้ขึ้นไปนั่งเคียงข้างบรรลังก์ของผู้เป็นบิดาไม่ แต่กลับหาที่ว่างของอัฒจันทร์ชั้นล่างสุดเป็นที่นั่งฟังการประชุมแทน แม้เทพอาวุโสหลายตนจะมองว่าไม่ค่อยสมฐานะนัก แต่ตัวลูเธอร์เองก็ทราบดีอยู่แล้วว่าลูกสาวตนไม่ได้ยึดติดอะไรกับฐานันดรเท่าไหร่

“เอาล่ะ หลังจากหยุดพักมานานเรามาต่อจากการกระชุมเมื่อเช้านี้กันได้แล้ว”

มหาเทพลูเธอร์กล่าวผ่านอักขระเวทย์มนต์ขยายเสียงให้ได้ยินทั่วถึงทั้งห้องโถง เป็นการเปิดการประชุมรอบบ่าย

“จากผลนิมิตที่ตีความได้ของดาราแห่งซาตาน ที่ท่านฮูเกลส์ได้กล่าวเอาไว้ก่อนหน้านี้นั้น ท่านได้สรุปว่าองค์ซาตานจะลงไปจุติบนโลกมนุษย์ใช่หรือไม่?”
“ใช่พระเจ้าค่ะ! ในยามที่ดาราแห่งซาตานเคลื่อนคล้อยผ่านกิ่งใหญ่ที่สามแห่งอิกดราซิล เมื่อนั้นการจุติของราชันย์ปิศาจจะสำเร็จ”
“เอาล่ะมหาเทพทุกท่าน ข้าต้องการให้พวกท่านแสดงความเห็นของการจุติของพระบุตรแห่งซาตานองค์นี้เสียหน่อยว่า เขาลงไปจุติเพื่ออะไร การจุตินั้นพวกท่านทราบคงทราบกันอยู่แล้วว่า หากมิใช่เรื่องใหญ่คงมิมีผู้ใดกระทำกัน”

เสียงถกเถียงเริ่มกลับมาดังขึ้นภายในมหาวิหารแห่งนี้อีกครั้ง นับจากการประชุมเมื่อเช้า

“จะมีเหตุอันใดเล่า หากมิใช่เพื่อการยึดครองโลกมนุษย์!”
“พวกมันกำลังจะละเมิดสนธิสัญญาระหว่างโลก!”
“ใช่แล้ว! ท่านลูเธอร์ ครานี้ปิศาจคงต้องการกลืนกินโลกเช่นเดียวกับที่พวกมันกระทำกันมาเมื่อครั้งพันกว่าปีที่แล้วกระมั้ง”
เหล่าเทพส่วนใหญ่เอ่ยขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ ความที่เผ่าพันธุ์ของพวกเขาเป็นปฏิปักษ์กับเผ่าพันธุ์ตรงข้ามอย่างปิศาจมานานแสนนาน นับแต่โลกทั้งสิบถือกำเนิดขึ้น ซึ่งก็ไม่มีผู้ใดแน่ใจว่านานเท่าไหร่แล้ว

“แต่สงครามสุดท้ายนั่น มันไม่ใช่ปิศาจเข้ารุกรานดินแดนอื่นนี่ ข้าได้ยินมาว่าพวกเรากับปิศาจต่างช่วยกันปกป้องโลกมนุษย์จากจอมปิศาจผู้หักหลังไซน์นี่นา”

เซร่าเอ่ยแย้งเทพตนหนึ่ง ที่ยกตัวอย่างสงครามเมื่อพันปีที่แล้วขึ้นมา ตำนานนั้นเป็นเรื่องที่ใครๆก็รู้ว่ามีจอมปิศาจผู้หักหลังโลกปิศาจ เข้าบุกทำลายโลกเบื้องล่างขึ้นมา แต่แล้วเหล่ามนุษย์ เทพ และปิศาจที่เหลือต่างช่วยกันสกัดและผนึกมันไว้ได้ก่อนที่หายนะจะมีมากไปกว่านี้ ไม่ใช่การรุกรานของพวกปิศาจอย่างที่เทพตนนั้นว่า

“ท่านเซร่า! แต่ครั้งนี้มหาซาตานที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งจากลูซิเฟอร์ กลับต้องการจุติลงไปบนเทอร์ร่า มันไม่แปลกไปหน่อยรึพะย่ะค่ะ!?”
“นั่นสิ! ข้าก็คิดเช่นนั้น ปิศาจน่ะมีแต่ความกระหายจะยึดครองเท่านั่นแหละ!”

เหล่าเทพอาวุโสต่างพากันเอ่ยอคติที่แต่ละตนมีออกมา เพียงเพราะความแตกต่างของเผ่าพันธุ์ที่ใครก็มิรู้ให้นิยามความตรงข้ามกันไว้ระหว่างดีชั่ว สว่างมืดเท่านั้นเอง ซึ่งตัวเซร่าเองเป็นหนึ่งในเทพไม่กี่คนที่คิดแตกต่างออกไป เธอต่างรู้ว่าปิศาจไม่ได้ร้ายไปเสียทุกตน หากแต่เทพต่างหาก บางคนกลับร้ายเสียยิ่งกว่าปิศาจเสียอีก

“เขาอาจจะมีเหตุผลอื่นใดก็ได้” เซร่ายังคงแย้งต่อ

“ไม่มีทาง! ท่านเซร่า ท่านทรงมองโลกในแง่ดีเกินไปแล้วพะย่ะค่ะ”
“ข้าว่าพวกเราควรจะกันไว้เสียก่อนแก้นะพะย่ะค่ะ”

เสียงถกเถียงคงดังระงมไปทั่วท้องโถงใหญ่ เสียงส่วนใหญ่เห็นด้วยว่า กษัตริย์แห่งความมืดต้องการยึดครองโลกมนุษย์ในอีกไม่ช้า

ท่ามกลางเสียงถกเถียงอันดังระงมกึกก้อง กลับมีเพียงผู้เดียวที่นิ่งเงียบอยู่ตลอดการแสดงความเห็น ความใจเย็นและการตัดสินใจที่ประมวลมาจากความคิดที่ดีแล้วนั้น เป็นความสามารถหนึ่งที่ทำให้เขา ถูกยอมรับโดยทั่วดินแดนแห่งทวยเทพว่ามีความสามารถเพียงพอที่จะปกครองโลกแห่งนี้ได้แม้อายุจะยังหนุ่มก็ตามที
มหาเทพผู้นั่งบรรลังก์ ไม่มีอันใดกล่าว เขารู้ใจบุตรีของตนเองอยู่แล้วว่าเป็นคนอย่างไร ไม่ต้องรอเอ่ยอันใดเดี๋ยวคำตอบของเธอก็ต้องเป็นไปตามที่เขาคาดเป็นแน่แท้ ซึ่งหากเหล่าทวยเทพทั้งหลายยังคงมีความเห็นต้องกันเช่นนี้

“ในเมื่อพวกท่านแคลงใจ”

สิ้นสุรเสียงของเซร่า เหล่าผู้อาวุโสทุกผู้ในมหาวิหารต่างหยุดการหารือกันในทันที ราวกับว่าพระบุตรีผู้งามสง่าที่สุดในดินแดนแห่งทวยเทพผู้นี้จะมีคำตอบหรืออะไรบางอย่างไขข้อกระจ่างและเป็นบทสรุปของการประชุมครั้งนี้แล้ว

แน่นอนว่า ลูเธอร์ เริ่มมีรอยยิ้มเล็กๆปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขา

“ข้าก็จะจุติลงสู่แดนมนุษย์เพื่อไขข้อกังขาของพวกท่าน ตามที่เสด็จพ่อแนะมาก่อนหน้านี้!”

!!!!!

ความโกลาหลครั้งใหญ่ปรากฏขึ้นทันควัน หลากเสียงต่างไม่เห็นด้วยเกรงว่าจะไม่คุ้มที่จะให้พระบุตรีแห่งมหาเทพลงไปเสี่ยงเช่นนั้น

“ท่านตัดสินพระทัยดีแล้วหรือ ท่านเซร่า!?”
“อย่าเลยท่าน ดินแดนเทพมีเหล่าผู้ที่มีพลังมากนับสิบๆตนที่สามารถไปทำกิจนี้แทนท่านได้!”

ขณะที่เหล่าเทพกำลังพยายามห้ามปรามความคิดของเด็กสาวเกศาทองคำ ชายผู้หนึ่งในบรรดาเทพชั้นสูงผู้อยู่บนอัฒจันทร์ชั้นสูงสุดก็ยืนขึ้นทำความเคารพเด็กสาวก่อนจะเอ่ยประโยคสยบความโกลาหลครั้งนี้

“ข้า คิง เนเฟล เทพอาวุโสลำดับที่ห้าแห่งอาณาจักรรูน ขอพระอนุญาตท่านเซร่าเสนอชื่อบุตรแห่งข้าไปกระทำการแทนจะได้หรือไม่?”

ไม่มีเสียงใดเปล่งวาจาออกมาจากทุกผู้ เซร่าเงยมองชายผู้มีเรือนผมสีดำเฉกเช่นเดียวกับบุตรของเขา ดวงเนตรสีเขียวเข้มใส สะท้อนความคิดของเธอได้เป็นอย่างดี

“ถ้าท่านหมายถึง เนเฟลล่ะก็ไม่เป็นไร ข้าไม่จำเป็นต้องให้เขาไปลำบากแทนข้าหรอก”
“แต่พระบุตรีแห่งรูน เรื่องใหญ่เพียงนี้ไม่ได้เหลือบากกว่าแรงเกินไปเลย เนเฟลแม้จะไม่ได้มีพลังเทียบเท่ากับท่านแต่มันจะคุ้มกว่า ถ้าให้ท่านไปเสี่ยงเช่นนั้น”
“ท่าน คิง เนเฟล ข้าเข้าใจท่านนะคะ และข้าก็ขอขอบพระคุณท่านมากที่ท่านห่วงข้าถึงเพียงนี้ แต่ในมุมมองข้าแล้วนั้น ท่านก็เป็นพ่อคนหนึ่ง พ่อไม่ควรเสนอชื่อบุตรของตนเพื่อลงไปกระทำการใหญ่ที่ดูอันตรายเช่นนั้น”

ประโยคที่ดูคมคาย ทำเอาเทพอาวุโสชั้นสูงเงียบไปชั่วครู่ แต่ที่เขาตัดสินใจเสนอชื่อลูกชายตนเองเช่นนั้นก็เพราะ เขาก็มีเหตุผลของตัวเองเหมือนกัน

“ท่านเซร่า ที่ข้าทำเช่นนี้ไม่ใช่เพราะข้าไม่ห่วงเนเฟลนะพะย่ะค่ะ หากแต่ว่ามันเป็นหน้าที่ๆบุตรของข้าควรกระทำต่างหาก อันบุตรของข้าที่ได้รับเลือกให้เป็นเทพอัศวินประจำกายท่านในเมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้เขาก็ควรกระทำในหน้าที่ๆได้รับมา”

เหตุผลของคิง เนเฟลล้วนถูกต้องทุกอย่าง ในสายตาเหล่าทวยเทพแล้ว เขาเป็นมหาเทพอาวุโสผู้หนึ่งที่มีความรับผิดชอบและได้รับความไว้วางใจสูงเกือบที่สุดจากตัวลูเธอร์ นั่นทำให้คำพูดของเขาสามารถชักจูงให้เหล่าเทพตนอื่นๆสนับสนุนความเห็นที่เขาเสนอได้

ทว่า สิ่งเดียวที่ทุกตนไม่ได้นึกถึงนั้นคือ อำนาจการตัดสินใจ ปกติเวลาอยู่ภายในสภากระประชุม พวกเขาใช้การออกความเห็นและจำนวนเสียงสนับสนุนมากที่สุดเป็นสิ่งที่ใช้ตัดสิน ทว่าครานี้เสียงสนับสนุนของพวกเขาต่อให้ เหล่าเทพทั้งหมดในรูนเสนอเป็นเสียงเดียวก็มิอาจต่อต้านอำนาจเบ็ดเสร็จของเซร่าได้

“เสียใจด้วย ท่าน คิง เนเฟล แต่ข้าตัดสินใจแล้ว ข้าต้องการจะลงไปพิสูจน์สิ่งที่เหล่าเทพทั้งหลายกล่าวด้วยตาของข้าเอง ว่าแต่...”
“เสด็จพ่อล่ะ? ท่านเห็นสมควรอย่างไร ในเมื่อท่านอยากให้ข้าลงไปตั้งแรกแล้วกลับทำเงียบเช่นนี้มันไม่เกินไปหน่อยรึ? ”

คำถามที่ส่อแววหาเรื่องของเด็กสาวถูกยิงขึ้นสู่ผู้สูงศักดิ์บนบรรลังก์ ชายวัยกลางคนยิ้มออกมาเล็กน้อย เป็นไปตามที่เขาคาดมาแต่แรกจริงๆ อย่างไรเสียบุตรีหัวดื้อคนนี้หากตัดสินใจอะไรไปแล้วล่ะก็ จะไม่ย้อนเปลี่ยนคำตอบอีก

“ก็ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าจะต้องพูดแบบนี้ เอาล่ะในเมื่อเหล่ามหาเทพทั้งหลายห่วงพระธิดาของข้า ข้าก็ขอขอบคุณ หากแล้วจะส่งผู้ติดตามลงไปสักสองสามคนคงมิขัดต่อทุกท่านกระมัง”

เป็นการตัดสินพระทัยที่ลงตัวที่สุด ไม่มีผู้ใดแย้งขึ้นแม้แต่คนเดียว เด็กสาวยิ้มระรื่นออกมาอย่างเห็นได้ชัด บางทีการลงไปจุติที่โลกมนุษย์ครั้งนี้เธอออาจะมีความต้องการเที่ยวเล่นในโลกอื่นแอบแฝงอยู่ก็เป็นได้ ด้วยเหตุผลแค่นี้มีหรือผู้เป็นพ่อจะไม่รู้นิสัยของลูกสาวตนเอง

วันอาทิตย์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2553

ปฐมบทแห่งตำนาน - บทย่อยที่ 3 คำทำนายของโหรกระดูก

เสียงกระพือปีกพังผืดของสัตว์หน้าตาคล้ายหนู นับร้อยพันดังโหมขึ้นรอบๆยอดปราสาทสีดำทมิฬยามค่ำคืน แสงจากจันทราทั้งเจ็ดสีส่องกลาดดาดเดื่อนลงมารวมกันเป็นสีขาวกระทบชายระเบียงของปราสาทสีเทาทึบ ผ่านสายหมอกหนาปกคลุมมหาปราสาทอันโอฬาร เผยให้เห็นร่างๆหนึ่งยืนทอดเนตรออกไปในความว่างเปล่าที่มีเพียงละอองน้ำในอากาศ

ชายตาของร่างนั้นกวาดดูทัศนียภาพอันมืดมัว ก่อนจะละจากไปราวกับเป็นความเคยชินที่เห็นภาพเหล่านี้มานานแสนนาน ทันใดนั้นเขาก็ตัดสินใจเดินย้อนกลับเข้าไปในตัวปราสาท ปล่อยทิ้งไว้เพียงความว่างเปล่าแลเสียงสัตว์แปลกๆร้องระงมยามค่ำคืน

โลกอีกแห่งที่กว้างใหญ่ไม่แพ้ ดินแดนแห่งทวยเทพ โลกแห่งนี้มีศักดิ์เสมอโลกของเหล่าเทพทั้งหลาย อันจัดอยู่ในลำดับที่สองของโลกทั้งสิบที่มหาพฤกษาเชื่อมต่อ เผ่าพันธุ์มนุษย์เชื่อเสมอมาว่า หากมีสิ่งที่เรียกว่า ทวยเทพก็ย่อมมีสิ่งที่ตรงข้ามกับทวยเทพเช่นกัน ซึ่งพวกเขาก็เรียกมัน ปิศาจและอสูร

ดินแดนแห่งนี้ถูกกล่าวขานกันในนามของ โลกปิศาจ

โต๊ะยาวทำจากไม้ขัดมันจนเลื่อมดุจกระจกกำลังถูกเท้าโดยข้อศอกและแขนของหลายผู้ที่นั่งอยู่รอบโต๊ะประชุมตัวนี้ ดูจากใบหน้าของแต่ละตนแล้วสามารถบ่งบอกได้เลยว่าพวกเขาไม่ใช่มนุษย์อย่างแน่นอน แม้บางตนหน้าตาจะเหมือนมนุษย์อยู่บ้าง แต่ปีกค้างคาวด้านหลังทั้งสองปีก เป็นสิ่งยืนยันได้ชัดว่าอย่างไรก็ไม่ใช่

ในขณะที่ร่างสูงที่ดูเหมือนจะเป็นประธานในการประชุมเพิ่งเดินกลับเข้าจากระเบียงภายนอกไม่นานนี่เอง เสียงพูดคุยอันดังระงมก่อนหน้านี้แทบจะเงียบเป็นปลิดทิ้งทันที่ร่างสูงนั้นสาวก้าวกลับเข้ามา อาจจะแปลกและสะดุดตาไปบ้างแต่ผู้ที่น่าจะเป็นประธานของการประชุมครั้งนี้ดูจะอายุน้อยที่สุดในกลุ่มเสียด้วยซ้ำ

เขาเป็นเด็กหนุ่มที่ดูภายนอกอายุไม่น่าจะเกินยี่สิบปีชาวมนุษย์ แต่เบื้องลึกที่ทุกผู้ในห้องนี้รู้สึกได้นั้น บอกว่าเขาไม่ได้มีอายุแค่สิบหรือยี่สิบ

แต่น่าจะเกินสี่ร้อยปีสำหรับเขาคนนั้น

ลุงเลโอลิค ที่ข้าจัดประชุมครั้งนี้เป็นการด่วนนี่ หวังว่าลุงคงชี้แจงเหล่าเสนาธิการและจอมทัพโลกปิศาจได้นะว่า อยู่ๆกลางดึกเช่นนี้ท่านกลับเรียกข้าและพวกเขามาเพราะเหตุอันใด”

เสียงของเด็กหนุ่มผู้นั่งบนเก้าอี้หัวโต๊ะ ผู้ซึ่งเพิ่งเดินกลับเข้ามาเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบในห้องโถงใหญ่ที่มีเพียงแสงจากเชิงเทียนสลัวๆ

โครงกระดูกถือไม้เท้าประดับอัญมณีสีแดงสดตนหนึ่งยืนขึ้น พลางสหันหัวไปทำความเคารพโค้งให้เด็กหนุ่ม ก่อนที่ดวงตากลวงโบ๋นั้นจะติดไฟขึ้นภายใน

“จริงๆแล้วข้าก็ไม่อยากปลุกพวกท่านให้ตื่นมารวมตัวกันในยามวิกาลเช่นนี้หรอกนะ เพียงแต่ว่า เมื่อสักเที่ยงคืน เผอิญข้าได้ไปทำกิจบางอย่างที่วิหารบูชายัญแล้วข้าได้พบกับนิมิตอย่างนึงที่ไม่สู้ดีนัก มันเป็นนิมิตที่ข้าไม่อยากจะเห็น และก็ไม่เคยเกิดขึ้นกับข้าตลอดระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งโหรเลยสักครั้ง”
“ท่านเห็นอะไรรึ? ท่านเลโอลิค” เสียงๆหนึ่งดังถามขึ้นจากนายพลหน้าตาคล้ายวัวกระทิงตนหนึ่ง
“คืนนี้จันทราทั้งเจ็ดเป็นสีเลือดในเวลาเที่ยงคืน ดาราแห่งราชันย์ตกอยู่ท่ามกลางวงล้อมของเส้นแนวแสงทั้งเจ็ด จนทำให้ดารานั้นแปรเปลี่ยนจากความสุกสกาว กลายเป็นมืดดับในที่สุด ก่อนที่จันทราทั้งเจ็ดบริวารจะเคลื่อนคล้อยผ่านกิ่งใหญ่ที่สามแห่งอิกดราซิล กลับมาส่องสว่างเจ็ดสีเจ็ดแสงดังเดิม”

กระดูกชราหยุดพูดพลางกวาดสายตามองสีหน้าของปิศาจแต่ละตน ซึ่งดูเหมือนจะไม่มีใครเข้าใจความหมายของนิมิตบนท้องฟ้าเมื่อตอนเที่ยงคืน ก่อนจะละมาบรรจบที่เด็กหนุ่มชุดดำผู้นั่งหัวโต๊ะเป็นคนสุดท้าย เปลวเพลิงภายในเบ้ากลวงโบ๋ค่อยๆหลี่ลงราวกับเป็นการหลี่นัยน์ตาของเขาให้เด็กหนุ่มหัวโต๊ะได้รับรู้ว่า สิ่งที่เขาจะพูดต่อไปนี้นั้นสำคัญต่อเด็กหนุ่มเพียงใด

“จะมีการผลัดเปลี่ยนบัลลังก์ของจอมราชันย์ปิศาจ!”

!!!!!

เสียงฮือฮาดังขึ้นทันใด จากความเงียบแปรเปลี่ยนเป็นความโกลาหลในที่สุด ผู้ร่วมประชุมนับสิบชีวิตต่างเข้าถกเถียงกัน พลางถามโครงกระดูกชรากลับถึงสิ่งที่เขาได้เอ่ยออกไป

“เป็นไปไม่ได้!!! จะมีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นได้ยังไง!?”
“ใช่! ท่านลูซิเฟอร์เพิ่งสละราชสมบัติให้เจ้าชาย ถึงท่านจะยังทรงพระเยาว์แต่ก็มีความสามารถ เหตุใดจะต้องผลัดเปลี่ยนบัลลังก์ด้วย!?”
“ดินแดนแห่งปิศาจไม่มีสงครามมานับพันปีแล้วนะ นับแต่สงครามครั้งสุดท้าย สงครามของจอมปิศาจผู้ทำลายสี่โลกจบลง ทุกอย่างก็เข้าสู่ความสงบนิรันด์ แลครั้งนี้จะมีการก่อกบฏเกิดขึ้นงั้นหรือ!?”

เสียงฮือฮาแห่งความตื่นตกใจดังสะพรั่งกึกก้องไปทั่วห้องโถง แม้เพียงเปลวเพลิงจากเชิงเทียนก็ยังพริ้วไหวเพียงเพราะเสียงถกกันของเหล่าปิศาจชั้นสูงเหล่านั้น กระนั้นเด็กหนุ่มผู้นั่งเท้าคางอยู่ที่หัวโต๊ะกลับยังคงนิ่งเฉยไร้ปฏิกิริยาตื่นตกใจใดๆเช่นผู้อื่นไม่

เลโอลิค เพ่งเปลวเพลิงในเบ้าตาที่กลวงโบ๋จับจ้องเข้ากับเขา ผู้อยู่หัวโต๊ะยาวราวกับว่า เหตุใดเขาถึงไม่มีอาการอันใดเฉกเช่นเหล่าเสนาธิการหรือจอมทัพ ขุนนางผู้อื่นไม่ จนกระทั่งเด็กหนุ่มผมดำยาวประบ่าผู้นั้นเริ่มเอ่ยประโยคแรกออกมาสยบความโกลาหลภายใน

“ลุงเลโอลิค นิมิตที่ลุงเห็นเมื่อเที่ยงคืนนั้น ความหมายเป็นเช่นนั้นจริงรึ”

เสียงเย็นยะเยือกพร้อมกับจิตดำมืดแผ่ออกมาพร้อมกับคำพูดจนทำเอาผู้ที่อยู่ภายห้องโถงถึงกับสงบปาก บ้างถึงกับจุกจนหายใจไม่ออก

โครงกระดูกหลี่เปลวเพลิงในเบ้าลงเล็กน้อย เป็นสัญลักษณ์ของการหลี่ตาเสมือนผู้ที่มีใบหน้าทั่วไป

“เช่นนั้น พระเจ้าค่ะ ข้าไม่พลาดด้านโหราศาสตร์แน่นอนพระเจ้าค่ะ ข้าขอเอาหัวข้าพร้อมกับตระกูลข้าเป็นประกันได้เลยพระเจ้าค่ะ!”

เสียงฮือฮาดังระงมขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ทุกผู้ถึงกับกล่าวถึงเรื่องของโหรกระดูกที่กล่าวรับประกันเสียเอง นั่นแสดงว่า เลโอลิคมีความมั่นใจมากว่ามันจะเกิดขึ้น

เพราะ เขาถึงกับเอาครอบครัวและเครือญาติร่วมร้อยชีวิตเป็นหลักประกันเลยทีเดียว

คำพูดของเลโอลิคนั้น ยิ่งสร้างความกังวลให้เหล่าเสนาธิการและเหล่าจอมทัพโลกปิศาจทั้งหลาย บางตนถึงกับเริ่มซักถามกันเองถึงสาเหตุและโอกาสที่เป็นไปได้ในการลอบปลงพระชนม์เจ้าบัลลังก์หนุ่ม ผู้ที่เพิ่งได้รับการสืบทอดพระราชสมบัติจากพระราชบิดาเมื่อไม่นานมานี้

แต่นั่นก็ทำก็ได้แค่เป็นกังวลกันไปของเหล่าเสนาธิการและจอมทัพเท่านั้น สาเหตุหนึ่งที่เมื่อเด็กหนุ่มเจ้าของบัลลังก์ยังคงนิ่งเงียบอยู่ได้เพราะ เขาไตร่ตรองแล้วว่ามันเป็นเพียงคำทำนาย แม้จะจากเลโอลิคผู้ที่ได้ชื่อว่า เอ่ยอะไรออกไปย่อมเกิดขึ้นอย่างแน่นอนก็ตาม แต่ในเมื่อมันยังไม่เกิดขึ้นเขาก็ไม่คิดที่จะกังวลไปโดยเปล่าๆ

กังวลไปก็เท่านั้น นิ่งเสียและควบคุมสถานการณ์ให้ผู้อื่นเห็นว่าขนาดเจ้าตัวผู้ที่ตกอยู่ในคำทำนายยังคงนิ่งเฉย ขณะที่ผู้อื่นที่ไม่ได้อยู่ร่วมคำทำนายด้วยจะนิ่งเสียไม่ได้เลยหรืออย่างไร

“ท่าน เลโอลิค สิ่งที่ท่านกล่าวมานั้นจริงหรือ?”

เสียงเด็กสาวคนหนึ่งดังโผล่ออกมาจากมุมมืดมุมหนึ่งของห้องโถงประชุม ชวนดึงสายตาของทุกคนหันไปจับจ้องเจ้าของเสียงผู้สวมผ้าคลุมสีดำปกปิดใบหน้าจรดเท้าแทน มีเพียงแววตาสีอำพันทอประกายต้องแสงเทียนปรากฏอยู่ภายใต้ผ้าคลุมนั้นแทน

“เจ้าเป็นใคร!? เข้ามาในได้ยังไง? ยามหน้าประตูทำอะไรกันอยู่!?”

เสียงเสนาธิการตนหนึ่งตะโกนขึ้นพลางเพ่งสายตามองเข้าไปในความมืดภายใต้ผ้าคลุมนั้น ปิศาจตนอื่นๆก็เช่น กับที่อยู่ๆก็มีแขกไม่ได้รับเชิญมาร่วมวงเสวนาเรื่องวิกฤตของบัลลังก์ราชันย์ด้วยแบบนี้ หลายต่อหลายคนอยากจะเก็บคำนายให้รู้กันเฉพาะผู้นำระดับสูงเท่านั้น พวกเขาเกรงว่าหากรู้ไปถึงหูประชาชนเบื้องล่าง มหานครปิศาจและหัวเมืองอื่นๆจะตกอยู่ในสภาวะสับสนเป็นทวี

แต่ท่าทีเหล่านั้น เด็กสาวในผ้าคลุมหาได้สนใจไม่ กลับกลอกตาเมินไปหาประธานประชุมที่อยู่ลึกสุดเสียด้วยซ้ำ

“หมายความว่านายจะต้องสิ้นบัลลังก์ในไม่ช้าสินะ จะบอกว่าเพราะกบฏรึไง?”
“ไม่รู้สินะ ที่นี่ไม่ได้มีการก่อกบฏมาช้านานตั้งแต่สมัยท่านปู่แล้ว ท่านพ่อเองปกครองไซน์ด้วยทศพิศราชธรรมมาโดยตลอด ชั้นเองแม้จะขึ้นครองบัลลังก์ได้ไม่นาน แต่ก็ไม่คิดใฝ่สงครามนักหรอกนะ โดยเฉพาะกับพวกเทพด้วยแล้ว ยิ่งไม่อยากไปยุ่งด้วย” เด็กหนุ่มตอบกลับ ด้วยสีหน้าปกติไม่ทุกข์ร้อน ก่อนจะเอ่ยต่อประโยคให้ครบใจความ

“กับเรื่องพรรค์นี้ชั้นไม่สนใจด้วยซ้ำไป”

เป็นคำตอบที่ฟังแล้วราวกับว่าเหตุนิมิตที่ผู้เฒ่ากระดูกทำนายไว้นั้น แม้มันจะเกิดขึ้นอย่างไร ชายผู้มีปลายผมเสมอบ่าก็หาได้ทุกข์ร้อนอันใด เขายังคงสงบนิ่งและเย็นชาเหมือนที่เคยผ่านมาให้เหล่าเสนาบดีและจอมทัพทั้งหลายได้เห็นเมื่อสี่ร้อยกว่าปีมาแล้ว

“พระองค์! เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องที่มิอาจละเลยได้นะพระเจ้าค่ะ! ทางที่ดีที่สุดคือเราควรหาหนทางแก้ไขก่อนที่มันจะเกิดึ้นก่อนมิดีกว่าหรือพระเจ้าค่ะ?”นายพลปิศาจผู้มีศีรษะเป็น
เหยี่ยวเอ่ยทักท้วงเด็กหนุ่ม ผู้เป็นเจ้าเหนือหัว พลันเสียงกระซิบกระซาบของความเห็นนานาก็ค่อยๆระงมขึ้นอย่างเงียบๆ ภายใต้การพูดคุยกันเองของเหล่าผู้ร่วมประชุมในห้องนั้น

เว้นเสียแต่ร่างสวมผ้าคลุมผู้เป็นสตรีผู้นั้นกลับสาวเท้าเข้ามาหาเด็กหนุ่มพลางชำเลืองมองเขาด้วยสายตาที่ไม่อาจบอกได้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ กระนั้นราชันย์ปิศาจหนุ่มกลับรู้อยู่แล้วว่าเธอต้องการจะพูดอะไรต่อไป

และเขาก็ชิงตัดเธอพูดเสียก่อน

“หึ หลังจากเธอฟังเรื่องราวแล้ว คงคิดว่าไม่น่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับผู้ถือครอง ‘อาวุธ’ ชิ้นนั้นล่ะสิ อยากจะบอกชั้นว่า ‘นายนี่มันอ่อนหัดขนาดนั้นเชียวหรอ’ ใจจะขาดอยู่แล้วใช่ไหม”

ปึ้ด!

เส้นเอ็นที่ขมับของเด็กสาวแข็งตึงขึ้นทันใดที่เด็กหนุ่มเบื้องหน้าเอ่ยประโยคตัดหน้าเธอเสียก่อนที่ตัวเองจะเป็นคนเอ่ย ร่างในผ้าคลุมหยุดเดินอยู่เพียงเท่านั้น ทำให้ราชันย์หนุ่มรู้ว่าคำพูดและความคิดของเขาถูกต้องอย่างเห็นได้ชัด กลับกันประกายอำพันกลับวาบทออกมาจากเงามืดในผ้าคลุมบ่งบอกว่าแก่เขาว่า สายตาเช่นนี้เป็นสายตาเชิงดูถูกอย่างแน่นอน

“นั่นสินะ นายนี่มันอ่อนหัดขนาดนั้นเลยรึ?”

ชิ้ง!!!

ปลายดาบสีเงินนับสิบเล่มถูกชักออกจากฝักดาบของจอมทัพปิศาจนับสิบตน มุ่งคมสู่เด็กสาวผู้มาเยือนอย่างไม่ใยดี เพียงเพราะคำพูดเชิงดูถูกของเธอ แต่ก็ดูเหมือนว่า ร่างสวมผ้าคลุมนั้นจะยังคงนิ่งเฉยไม่สะทกสะท้านใดๆทั้งสิ้น

“ยัยเด็กบ้า! แกกล้าดูถูกความสามารถขององค์ราชันย์ปิศาจเรอะ! แกเป็นใครกันแน่!? นอกจากนั้นยังมิใช้ราชาศัพท์กับท่านด้วย รู้ไหมว่าโทษนั้นคือ ความตาย!”
“ท่านราชันย์ ข้าคิดว่าเราควรสั่งสอนเจ้าเด็กอ่อนนี่ให้มันรู้จักสัมมาคารวะเสียดีไหม พระเจ้าค่ะ?” ปิศาจตนหนึ่งถามขึ้น

รอยยิ้มกระตุกขึ้นที่มุมปากของเด็กหนุ่ม นัยตาสีแดงเพลิงกระพริบและหลี่ลงเล็กน้อย

“พวกเจ้าทั้งหมด คิดว่าจะสู้เธอคนนั้นได้งั้นรึ”
“ท่านว่าเยี่ยงไรนะ พระเจ้าค่ะ!? กับแค่เด็กอ่อนผู้เดียว พวกข้าไม่คณามือหรอกพระเจ้าค่ะ!” คำพูดของเหล่าจอมทัพโลกปิศาจทั้งหลายนั้นดูจะเป็นการกระตุ้นโสตประสาทของร่างใต้ผ้าคลุมเบื้องหน้าเข้าเสียแล้ว
“หึ เจ้าพวกจอมทัพโลกปิศาจ พวกแกคิดว่ากำลังยืนอยู่เบื้องหน้าใคร?” และคำพูดของเธอก็ดูจะเป็นกระตุ้นฝั่งตรงข้ามเช่นกัน
“ไอ้เด็กนี่!!! อย่าหาว่าพวกข้าไม่ปราณีเลยนะ แก ตายซะเถอะ!”

คมดาบทั้งหมดที่เคยประอยู่ที่บ่าของเด็กสาวถูกวาดลงมาด้วยความเร็วสูง โดยหวังผ่าร่างของเธอออกเป็นสิบๆซีก แต่แล้วร่างสวมผ้าคลุมกลับหายไปจนปลายดาบทั้งหมดฟันเข้ากับพื้นห้องโถงดังเคร้ง

“มันหายไปแล้...”

ฉับ! ฉัวะ!!!!

หัวของเหล่าจอมทัพปีศาจทั้งหมด ขาดกระเด็นในเพียงเสี้ยววินาทีที่พวกเขาเพิ่งลงดาบลงไป โดยไม่ทันแม้จะส่งเสียงร้องหาความเจ็บปวดและทรมาน เลือดสีดำสนิทพุ่งกระฉูดออกจากปลายคอที่ไร้หัวทั้งหมด ร่างไร้วิญญาณล้มทรุดกองลงกับพื้นปล่อยให้โลหิตไหลชโลมพรมสีแดงที่ปูพื้นอยู่จนย้อมเป็นสีดำในทันใด

“วะ เหวอออ!!!”
“ว๊ากกกก!!!”

เหล่าเสนาธิการที่เหลือร้องตะโกนขึ้นด้วยความตกใจสุดขีด เหล่าอัศวินปิศาจที่เหลือเข้าห้อมล้อมเด็กหนุ่มผู้เป็นเจ้าของนัยตาสีแดงเพลิงในทันใด

“คุ้มกันองค์ราชา!”
“ไม่ต้อง ข้าเตือนเจ้าพวกนั้นแล้ว ในเมื่อไม่เชื่อข้าก็ช่วยไม่ได้ ขอให้วิญญาณของเหล่าผู้ภักดีแห่งข้าหวนคืนสู่ดินแดนแห่งวิญญาณ เดอะ สปิริต ด้วยเถิด”

เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นพลางลุกออกจากเก้าอี้ แหวกวงล้อมของเหล่าอัศวินออกมายืนเบื้องหน้า เด็กสาวผู้เพิ่งสังหารเหล่าจอมทัพผู้ภักดีแก่เขาไปเมื่อครู่

“แต่ ไนท์แมร์ ในเมื่อเธอฆ่าเหล่าจอมทัพของข้าไปแล้ว เจ้าก็จำเป็นต้องรับผิดชอบประชุมแทนพวกเขาด้วยก็แล้วกัน”
“เชอะ! ใช่ว่าชั้นจะฆ่าพวกนั้นสักหน่อย มันมาหาเรื่องชั้นก่อนเองนี่”
“แต่เธอต้องรับผิดชอบ รวมถึงในส่วนของครอบครัวพวกเขาด้วยนะ เรื่องมันเริ่มจากคำพูดของเธอแท้ๆเลย ยังไม่รู้ตัวอีกรึ”
“ได้ไง!? ชั้นไม่ได้ฆ่าพวกนั้นด้วยสักหน่อย ทำไมชั้นต้องรับผิดชอบ!?”

กึก!!!

ดวงเนตรสีอำพันของเด็กสาวหยุดชะงักในทันใด เมื่อนัยตาสีแดงเพลิงขยับกลับมาสบอีกครั้ง เด็กสาวเริ่มตัวสั่นพลันกระตุกเล็กน้อย ระบบหายใจเริ่มติดขัด กระแสโลหิตเริ่มไหลเวียนผิดปกติ เธอเริ่มเอามือมากุมที่ต้นคอ เสียงหายใจอันแบ่วเบาแต่กังพอที่จะได้ยิน ดังเล็ดลอดออกมาจากผ้าคลุมที่ปกปิด

“นะ นาย นาย นายยย จะฆ่า ชะ ชั้...”
“หืม เปล่านี่ ชั้นยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ”

รอยยิ้มประกอบกับคำพูดของเด็กหนุ่มเบื้องหน้า ไม่สามารถทำให้เธอเชื่อได้ แววตาสีเพลิงที่ดูแล้วดุจไฟบรรลัยกัลป์ลุกโหมอยู่ภายนั้น บ่งบอกว่าเขากำลังจะฆ่าเธอ หากเธอยังไม่ยอมรับข้อเสนอของเขา

“ท่าน เลโอลิค นั่นมันอะไรน่ะ!?”
เสนาธิการผู้หนึ่งเอ่ยกระซิบถามโครงกระดูกชรา โหรกระดูกมองเด็กหนุ่มอยู่สักครู่ ก่อนจะขยับกรามของเขาเอ่ยคำตอบแก่ผู้ถามคำถาม
“นัยตาต้องสาป ความสามารถที่ติดตัวมาตั้งแต่ประสูติขององค์ราชันย์ ท่านเป็นผู้แรกที่มีคำสาปติดตัวมาตั้งแต่อยู่ในพระครรถ์ของพระมารดา ส่วนเหตุผลที่มานั้น ข้าเองก็มิอาจรู้ได้เหมือนกัน”
“ละ แล้ว ผู้หญิงคนคือผู้ใดหรือท่าน?”
“ไนท์แมร์ สหายเก่าขององค์กษัตริย์น่ะ และในมหานครแห่งไซน์นี้ ผู้ที่มีความสามารถสูงสุดในหมู่ปิศาจก็คงเป็นเธอกระมั้ง”
“ตะแต่ ข้าได้ยินมาว่า ท่านฮาเธนัสส์ผู้ถือครองอาวุธชิ้นนั้น มีพลังมากที่สุดใน...”
“ชู่ว!”

โหรกระดูกชูนิ้วชี้ที่เหลือเพียงโครงนิ้วขึ้นมาชิดปากเป็นสัญญาณให้เสนาธิการผู้นั้นหยุดพูด ก่อนเขาจะค่อยๆกระซิบเสียงแหบแห้งอันแผ่วเบาออกมา

“เด็กสาวผู้ที่ถือครองอาวุธชิ้นนั้นเป็นผู้ทีมีพลังมากที่สุดก็จริง แต่พวกเจ้ารวมไปถึงเหล่าปิศาจทั่วไปที่อาศัยอยู่ในโลกนี้ต่างก็มิมีผู้ใดรู้ว่าแท้จริงแล้วนั้น...”

ทว่ามีเสียงยะเยือกเอ่ยหยุดคำพูดของเลโอลิคเสียก่อน

“ลุงเลโอลิค...”
“ขอประทานอภัยด้วยพระเจ้าค่ะ!”

โครงกระดูกชันเข่าแก่เด็กหนุ่มผู้นั้นเป็นการขอขมาโทษ ท่ามกลางเสียงซุบซิบจะเริ่มมีให้เห็นในเหล่าผู้ที่ยังเหลืออยู่ในห้องนั้น เด็กหนุ่มละสายตาจากไนท์แมร์ ก่อนจะเดินกลับไปนั่งที่หัวโต๊ะอีกครั้ง บรรยากาศตรึงเครียดเมื่อสักครู่เริ่มจางหายไป ก่อนที่คนอื่นๆจะทยอยกลับมานั่งที่เดิมแม้ว่าจะไม่ครบทุกคนแล้วก็ตาม

“แล้วคราวนี้ลุงมีความเห็นอย่างไร ในเมื่อว่ายังไม่รู้ว่าเหตุใดข้าถึงสละบัลลังก์ แล้วการสละบัลลังก์ของข้าครั้งนี้ก็มิรู้จะมีการหลั่งเลือดหรือไม่ด้วย”

สุรเสียงของเขายังคงไม่มีกระแสทุกข์ร้อน

“ตอนนี้ข้าทราบเพียงอย่างเดียวคือ คำตอบทั้งหมดอยู่โลกมนุษย์พระเจ้าค่ะ!”

เป็นคำตอบที่ทำเอาทุกคนในห้องโถงสะอึกหยุดนิ่ง รวมไปถึงไนท์แมร์และเด็กหนุ่มผู้ตกอยู่ในคำทำนายด้วย เขายิ่งเริ่มสนใจในคำทำนายมากขึ้นเสียยิ่งกว่าจะตกอยู่ในความกลัวที่ต้องสละราชบรรลังก์ หรือแม้กระทั่งความตายที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้กับเขาเองเสียอีก

“หืม โลกมนุษย์งั้นรึ ทำไมล่ะ ทั้งๆที่ท่านก็เห็นนิมิตจากจันทราทั้งเจ็ดภายใต้หมู่ดาราเหนือมหานครแห่งไซน์ แต่ท่านกลับบอกว่าคำตอบที่จะสามารถไขข้อให้ข้ากระจ่างได้กลับอยู่ที่โลกมนุษย์”

“การที่จัทราทั้งหมดเคลื่อนแปรจากสีเลือดสู่สีเดิม หลังจากผ่านกิ่งใหญ่ที่สามของต้นไม้แห่งโลกนั่นก็เป็นคำตอบที่ชัดเจนอยู่แล้วพระเจ้าค่ะ!”
“กิ่งใหญ่ที่สามแห่งต้นไม้แห่งโลก ก็หมายความว่า โลกลำดับที่สามใช่ไหมลุง”
“ใช่ พระเจ้าค่ะ!”

ไม่มีเสียงตอบกลับต่อจากองค์กษัตริย์หนุ่มผู้นั้น เขาลุกออกจากเก้าอี้หัวโต๊ะ เดินเข้าประชิดหน้าต่างบานใหญ่ริมห้องโถง ทอดเนตรสู่จันทราทั้งเจ็ดที่บัดนี้กลับมาส่องสว่างเจ็ดสีเช่นเดิมเหมือนที่ เลโอลิค ว่าเอาไว้

เด็กหนุ่มนิ่งเงียบ เขากำลังคิดตริตรองอยู่ ชวนให้บรรยากาศภายในห้องเงียบสงัดขึ้นทันควัน ราวกับว่าทุกคนที่เหลืออยู่นั้นรอลุ้นว่าคำตอบของเขาจะออกมาในรูปแบบใด

“ถ้าเช่นนั้น ข้าก็จะไปโลกมนุษย์”

!!!!!

ความโกลากหลปรากฏขึ้นอีกครั้งหนึ่ง นับเป็นครั้งที่สี่แล้วในการประชุมครั้งนี้ และคราวนี้ดูจะวุ่นวายมากที่สุดเมื่อคำตอบขององค์กษัตริย์หนุ่มฟังดูไม่น่าพอใจนัก ซึ่งมันก็ดูย่ำแย่ที่สุดในความคิดของทุกคน

“ได้โปรด อย่าเสด็จไปเลยพระเจ้าค่ะ โลกมนุษย์นั้นมีอะไรรออยู่ก็มิรู้ได้ บางสิ่งควรมิควร พระองค์ควรตัดสินพระทัยส่งผู้อื่นไปสังเกตการณ์แทนเถิด”
“นั่นสิ พระเจ้าค่ะ! สิ่งที่ท่านมิสมควรลืมไปได้อีกอย่างคือ สนธิสัญญาระหว่างโลกนะพระเจ้าค่ะ โลกทั้งแปดต่างทำสัญญาว่า จะมิบุกรุกแก่กันและกันมานับแต่สิ้นสุดสงครามจอมปิศาจผู้ทำลายสี่โลกแล้วนะพระเจ้าค่ะ!”
“กรุณาตัดสินพระทัย เลือกผู้อื่นเถอะพระเจ้าค่ะ!”

เสียงของเหล่าเสนาธิการและองครักษ์ที่เหลือดังขึ้นอ้อนวอนต่อเด็กหนุ่มเจ้าของนัยตาสีแดงเพลิง แต่กระนั้นเด็กสาวผู้สวมฮู้ดกลับหามีอาการอ้อนวอนเช่นเดียวกันนั้นไม่

เธอถอดฮู้ดออกเผยให้เห็น ใบหน้าอ่อนเยาว์ ราวเด็กสาวชาวมนุษย์อายุไม่เกินยี่สิบปี คมสวยดุจเทพธิดาผิดกับความสามารถที่เพิ่งเผยให้เห็นไปเมื่อครู่ เกศายาวเลยบ่าสีอำพันดุจเดียวกับดวงเนตรต้องประกายแสงจันทร์จนส่องประกาย เธอค่อยๆก้าวเข้ามาองค์กษัตริย์หนุ่มช้าๆ มือเรียวเล็กข้างหนึ่งยกขึ้นช้อนคางผู้สูงศักดิ์เบื้องหน้า

“ชั้นเป็นห่วงนายนะ นายรู้ตัวรึเปล่า?”

เสียงที่เคยฟังดูแล้วน่าเกรงขามอำมหิต ลดเพดานต่ำลงจนกลายเป็นเสียงใสๆราวเด็กสาวธรรมดาๆผู้หนึ่งเท่านั้นเอง

“อย่ามาทำเป็นโรแมนติกแถวนี้ ไนท์แมร์ เรื่องนี้ซีเรียสสำหรับทุกคนนะ แล้วนี่ต่อหน้าทุกคนด้วย เธอยังกล้ามาทำพฤติกรรมแบบนี้อีกรึ แถมอารมณ์ยังเย็นได้อีก”
“แล้วทีนายล่ะ เจ้าชายผู้มีอารมณ์ดุจเทือกผลึกน้ำแข็งแห่งไซท์ไลน์ นายนอกจากจะเป็นเจ้าชายแห่งความมืดแล้วก็ยังเป็นเจ้าชายน้ำแข็งอีกด้วย รู้ตัวรึเปล่า!?”
“แล้วทำไม เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับชั้นคนเดียวเท่านั้น มันเป็นปัญหาของชั้นไม่ใช่ปัญหาของเธอ แล้วก็ใช่ว่าชั้นจะอยากเป็นกษัตริย์สักหน่อย ชั้นเบื่อคำราชาศัพท์ อุตส่าห์บอกให้ทุกผู้กล่าวสามัญก็มิมีผู้ใดกระทำ ก็คงมีแต่เธอกับน้องชั้นกระมั้ง ไม่ก็พวกที่ขึ้นตรงกับชั้นนั่นล่ะถึงจะทำตาม”

ความเงียบกลับเข้าปกคลุมห้องโถงอีกครั้ง คราวนี้เด็กสาวเข้าสวมกอดเขาเสียแทน จนทำเอาผู้อื่นที่เหลือในห้องถึงกับตะลึงกับภาพที่เห็น หล่อนช่างกล้ายิ่งนัก ทุกผู้ทุกคนแดนปิศาจต่างก็รู้ว่า อดีตเจ้าชายนั้นไม่ฝักใฝ่ในความรัก หากแต่ฝักใฝ่ในตำราเรียนเสียมากกว่า จนทำให้อารมณ์เยี่ยงภูเขาน้ำแข็งกลายเป็นอารมณ์ประจำตัวไปเสียแล้ว

“ส่งชั้นไปแทนก็แล้วกัน!”

!!!???

“เธอว่าไงนะ”
“ชั้นบอกว่าส่งชั้นแทนยังไงล่ะ ตานี่เซ้าซี้จริง!”
“ไม่ตลกนะ ไนท์แมร์ จะต้องให้ย้ำกี่ครั้ง นี่ไม่ใช่เรื่องของเธอ”
“แต่ชั้นจะไป! นายมีหน้าที่ต้องปกครองที่นี่ ไซน์ต้องการผู้มีความสามารถ ไงๆชั้นมันก็แค่คนไร้ค่าที่นายมองไม่เห็นคุณค่าคนนึงอยู่แล้ว!!!”

!!!!!

เด็กหนุ่มสะอึกไปชั่วครู่ นัยตาสีเพลิงหลี่ลง ก่อนจะเบือนหน้าหนีประกายแสงอำพันจากฝ่ายตรงข้าม พลางผละตัวออกจากอ้อมกอดของเธอ พฤติกรรมที่เขาผลักเธอออกไปนั้นยิ่งทำให้เด็กสาวแอบสะเทือนใจอยู่ภายในราวกับความหวังอันแสนเนิ่นนานของเธอกำลังจะแตกสลาย

แต่ตัวไนท์แมร์เองนั้นก็รู้ดีอยู่แล้วว่า ไม่ว่าอย่างไร เด็กหนุ่มผู้มีนัยน์ตาสีเพลิงผู้นี้ก็หาได้มีจิตสำนึกเหมือนชายหนุ่มธรรมดาสามัญคนหนึ่งไม่ หลายครั้งที่มีเจ้าหญิงจากหลายอาณาจักรในโลกปิศาจเข้าทักทายและพยายามตีสนิทกับเขา แต่ก็ต้องสิ้นหวังและจากไปหลังจากพวกเธอรู้ถึงนิสัยที่แท้จริงของเขาคือ การให้ความสนใจกับหนังสือในห้องสมุดของพระราชวังมากกว่าเด็กสาวหน้าตาน่ารักๆทั้งหลาย

กระนั้นไนท์แมร์ก็เป็นหนึ่งในไม่กี่ผู้ที่ยังคงไม่ทิ้งความหวังกับเขาคนนี้

ทว่าสิ่งที่เธอหวังนั้นก็ดูจะริบหรี่อีกครั้ง เมื่อเธอได้รับรู้ถึงประโยคที่เด็กหนุ่มเอ่ยต่อไป

“ทหาร เอาเธอผู้นี้ไปขังไว้ที่คุกมืดแห่งเคลธัสสาสธ์ อย่าให้ได้ออกมาต้องแสงตะวันจันทราจนกว่าข้าจะจุติร่างบนโลกมนุษย์ได้สำเร็จ”

!!!!!

เหล่าองครักษ์ที่เหลือด้านหลังวิ่งกรูพร้อมชักกระบี่ข้างกายออกมาล้อมกรอบไนท์แมร์เอาไว้ ประกายอำพันสลายหายไปพร้อมกับแสง
จันทร์ทั้งเจ็ดที่แฝงเร้นในกลีบเมฆที่เคลื่อนคล้อยเข้ามาบดบังยามค่ำคืน

“คิดว่าเจ้าพวกนี้จะหยุดชั้นได้งั้นรึ?”

ประกายแสงในอำพันเนตรที่หายไปนั้น เด็กหนุ่มมีหรือจะไม่รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ แน่นอนว่าเขาคิดเผื่อไปไกลแล้วว่า ควรจะทำอย่างไรต่อไปกับเพื่อนสาวเบื้องหน้า

“ได้สิ ทำไมจะไม่ได้”

สิ้นเสียงของเจ้าของนัยตาสีเพลิง ก็ปรากฏบาเรียร์เกล็ดรูปหกเหลี่ยมสีดำใส ก็ก่อตัวกันเป็นทรงกลมห่อหุ้มรอบตัวไนท์แมร์เอาไว้ คราวนี้แม้ไนท์แมร์จะทุบ หรือร่ายเวทย์จากภายในอย่างไรก็ไม่มีแม้รอยแตกร้าว ราวกับว่ามันแข็งแกร่งและทรงพลังที่สุด

“เวทย์กักขัง ดาร์คเนส เฮกซาแกรมการ์ด!? ตาขี้โกง!!! ปล่อยชั้นออกไปนะ!!!”

เสียงของไนท์แมร์ดังเล็ดลอดออกมาจากภายในพร้อมๆกับเสียงทุบแผ่นเกล็ดหกเหลี่ยมเวทย์มนต์ มองจากภายนอกตอนนี้เธอเป็นเหมือนกับลูกแมวน้อยในกรงตัวหนึ่งเท่านั้นเอง

“ไม่ต้องห่วงไนท์แมร์ ดาร์คเนส เฮกซาแกรมการ์ดจะหายไปเมื่อเธอเข้าไปอยู่ในคุกแล้ว ชั้นจุติสำเร็จเมื่อไหร่ ชั้นจะฝากทหารปล่อยเธอละกัน”
“ไม่!! ไม่ได้ อย่าไปนะ อย่าไป! นายจะไปไม่ได้นะ!!!”
“...”
“อย่าไปนะตาบ้า!!! ชั้นเห็นนะอนาคตน่ะ!! นายก็รู้ว่าชั้นเป็นใคร ชั้นเป็นฝันร้าย ฝันร้ายที่ชั้นเห็นน่ะ...นายจะ...”
“พาไปได้แล้ว ข้าไม่ต้องการให้เธอผู้นั้นอยู่ตรงนี้อีก”

ไม่ทันที่เด็กจะกล่าวอันใดต่อ เธอก็ถูกเหล่าองครักษ์พาตัวออกไปทั้งๆที่ยังอยู่ในกรอบของเวทย์มนต์ พลันเสียงปิดประตูโถงประชุมดังปัง ภาพสุดท้ายที่เธอเห็นคือนัยตาสีเพลิงที่บ่งบอกออกมาเป็นคำพูดได้ว่า ขอโทษนะ

“ฮึก..ฮึก ฮือ นะ นาย นายจะ...”

หยาดน้ำตาหยดเล็กๆเริ่มก่อตัวที่ขอบเบ้าของเด็กสาวขณะถูกคุมตัวไปยังคุกมืดใต้ดิน ก่อนจะเริ่มหลั่งไหลพรั่งพรูออกมาเป็นสายธาร ดุจน้ำตกแห่งความเศร้า เธอกำลังเสียใจกับทุกสิ่ง ทุกสิ่งที่เป็นสาเหตุที่ทำให้เขาไม่เคยฟังเธอเลย

“นายจะตายนะ...”

วันเสาร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2553

ปฐมบทแห่งตำนาน - บทย่อยที่ 2 การตัดสินใจของนางฟ้า

ห่างออกไปไกลแสนไกลจากโลเลนเซียร์ ยังมีดินแดนอีกแห่งที่ปราศจากการรบรามานานแสนนานนับพันๆปี สถานที่อันซึ่งมีศักดิ์สูงกว่าโลกมนุษย์ การจะเดินทางมายังที่นี้จำเป็นต้องผ่านต้นไม้แห่งโลกหรือ เดอะ อิกดราซิล ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับมนุษย์ เหตุเพราะการข้ามผ่านอิกดราซิลนั้นจำเป็นต้องใช้พลังเวทย์หรือ ที่เหล่ามนุษย์ผู้ที่มีพลังเวทย์เรียกกันว่า พลังมานา เพื่อการคงกายเนื้อเอาไว้ สายใยแห่งอิกดราซิลจะสูบพลังมานาสิ่งใดก็ตามที่ผ่านลำต้นของมัน ยิ่งเป็นดินแดนที่อยู่ใกล้ยอดของต้นไม้แห่งโลกก็ยิ่งสูบมานามากเป็นเท่าทวี ขณะที่จุดที่กิ่งก้านแห่ง อิกดราซิล เชื่อมต่อนั้น บนโลกนี้ก็มิมีผู้ใดทราบถึงที่ตั้งของมัน ทำให้ตราบจนทุกวันนี้ก็ยังหาผู้ใดที่ตามหาตำนานต้นไม้ยักษ์ต้นนี้ได้

ทว่าสิ่งมีชีวิตที่อยู่บนโลกที่มีศักดิ์สูงกว่าโลกเบื้องล่างนั้น จะมีพลังมานาเพียงพอแก่การเดินทางข้ามสายใยแห่งต้นไม้ยักษ์นี้ได้ แม้อิกดราซิลจะสูบมานาออกไปหล่อเลี้ยงกระแสพลังเวทย์ในทั้งสิบโลกที่มันเชื่อมต่อ แต่ก็เพียงพอแก่การเดินทางข้ามลงมาของสิ่งมีชีวิตชั้นสูง

โลกอันไร้ซึ่งสงครามแห่งนี้ถูกจัดเป็นลำดับที่สองจากทั้งสิบโลกที่อิกดราซิลเชื่อมต่อ โลกมนุษย์นั้นอยู่ในลำดับที่สาม เป็นที่ชัดแล้วว่าพวกมนุษย์มิอาจย่างกรายเข้ามาในโลกแห่งนี้ได้ โลกที่มีดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่เหล่ามนุษย์เชื่อและศรัทธา

ดินแดนแห่งทวยเทพ

เสียงน้ำตกไหลซู่ลงสู่เบื้องล่างของปราสาทลอยฟ้าเหนือปุยเมฆสีขาวสะอาดตา ลำแสงรำไรสาดส่องเป็นลำทอดยาวเข้ามาตามแนวของวิหารเล็กๆที่อยู่ในส่วนปลายของเขตปราสาทสีขาวบริสุทธิ์นั้น เด็กสาวผู้มีเส้นเกศาสีทองคำยาวจรดน่องผู้หนึ่งกำลังยืนพิงเสาวิหารพลางกวาดสายตามองออกไปนอกปราสาท กลีบเมฆมากมายกำลังลอยไปมาราวกับการวิ่งซนของเด็กๆก็มิปาน

กับวันธรรมดาๆที่ไม่มีอะไรทำของเด็กสาวคนนั้น แม้เพียงได้ดื่มด่ำกับทัศนียภาพที่แม้จะเห็นจนชินตามาเกือบสี่ร้อยปี แต่มันก็เพียงพอสำหรับเธอแล้ว

ภาพเก่าๆ ทำให้หวนคืนนึกถึงวันเก่าๆ ปราสาทแห่งนี้อยู่ในสภาพนี้มานานแสนนานจนเธอเองก็แทบจะจำไม่ได้แล้วว่าเหล่าทวยเทพและนางฟ้าผู้รับในใช้ในปราสาทนั้น วิ่งปีกแทบจนชนกันเป็นชุลมุนครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่

ด้วยพลังชีวิตที่เนิ่นนานกว่ามนุษย์โลกย่อมทำให้เกิดความเบื่อหน่ายเป็นธรรมดา บางทีการได้เป็นมนุษย์ที่มีช่วงชีวิตที่สั้นกว่านี้หลายเท่าอาจจะไม่น่าเบื่อขนาดนี้ก็ได้ เพราะพวกเขาได้เรียนรู้ยังไม่ทันจะครบทุกสิ่งบนโลกก็ดับสิ้นกันไปเสียก่อน เทียบกับดินแดนแห่งทวยเทพแล้วถึงแม้โลกแห่งนี้กว้างใหญ่ไพศาลกว่าโลกมนุษย์ แต่สภาพจำเจที่มีปุยเมฆ และเกาะลอยฟ้าอยู่ทั่วไป นั่นก็ไม่ต่างอะไรกับการอยู่ที่เดิม

เบื้องล่างของชั้นปุยเมฆยังมิเคยมีเทพตนใดบินเหินลงไปสำรวจ พวกเขาพึงพอใจกับการใช้ชีวิตอยู่บนเกาะลอยฟ้าแค่นั้นก็พอแล้ว
ทวยเทพเป็นเผ่าพันธุ์หนึ่งที่ขาดการกระตือรือร้นการสำรวจสิ่งใหม่ๆไม่เหมือนกับเผ่าพันธุ์มนุษย์ กับเผ่าพันธุ์ที่อ่อนแอกว่า แต่มันสมองมิได้น้อยไปกว่ากันนั้น บุกน้ำลุยไฟ มนุษย์ยังกระเสือกกระสนที่สำรวจดินแดนหรืออารยธรรมใหม่ๆอยู่เสมอ

แต่ก็ไม่ใช่เทพทุกตนเสมอไป และอย่างยิ่งโดยเฉพาะกับเด็กสาวผู้นี้ เธอกำลังคิดอยู่ในหัวพอดีว่า วันว่างๆอันแสนน่าเบื่อนี้ เธอน่าจะลองกางปีกบินลึกลงไปใต้ชั้นเมฆเสียหน่อย ความน่ากลัวหรือนิยายปรัมปราต่างๆที่เทพอาวุโสชอบเล่าบ้าง แต่งบ้างว่า ใต้ปุยเมฆขาวโพลนนั้น มีสิ่งที่เรียกว่า อสูร อยู่ ไม่ได้ช่วยให้เธอเกรงกลัวเอาเสียเลย เหตุเพราะบางทีพวกเขาอาจจะเล่าให้เธอคนนี้ฟัง ตอนนั้นสีหน้าการแต่งเรื่องอาจจะไม่เนียนพอทำให้เธอจับได้ก็เป็นได้

ตึก!

กระนั้นกลับมีเสียงสาวเท้าดังเข้ามาจากภายในวิหาร ใกล้จนกระทั่งมันขัดจังหวะอารมณ์ของเธอ จนเล่นเอาเด็กสาวหลุดออกมาจากภวังค์ยามบ่าย ปลายตามองผู้ที่บังอาจเข้ามาขัดจังหวะความสุขของเธอทันควัน

เขาเป็นเด็กหนุ่มผมดำยาวประบ่า มีดวงเนตรสีดำเทา เมื่อเห็นแล้ว เด็กหนุ่มพลันนั่งชันเข่าทันทีที่เด็กสาวผู้นั้นสบตาเขา ก่อนที่จะเอ่ยประโยคแรกออกมา

“การประชุมเหล่าเทพกำลังจะเริ่มขึ้นในไม่ช้านี้ มหาเทพลูเธอร์ต้องการให้องค์หญิงเข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ด้วย พะย่ะค่ะ!”

เธอชำเลืองปลายตาเล็กน้อย ราวกับส่งนัยให้กับผู้มาเยือนว่า ไม่มีเหตุผลใดที่เธอต้องเข้าร่วมการประชุมที่มีแต่เหล่าเทพอาวุโสเช่นนั้น จากดวงเนตรเนตรสีเขียวมรกตคู่นั้นทำให้ ก่อนจะหันกลับไปมองทะเลเมฆเบื้องหน้าอีกครา
เด็กหนุ่มดูเหมือนจะรู้คำตอบดีว่าท่าทีแบบนั้น หมายความว่าอย่างไร

“แต่ มหาเทพท่านทรงกำชับข้ามาให้พาท่านให้เข้าร่วมการประชุมให้ได้พะย่ะค่ะ โปรดเห็นแก่หน้าที่ข้าด้วยเถิดพะย่ะค่ะ”
“...”
“หากท่านมิอาจไป ข้าจำเป็นต้องขอพระอนุญาตใช้เวทย์มนต์กักตัว และพาท่านไปนะ พะย่ะค่ะ!”

ชิ้ง!!!

ราวกับเวลาหยุดนิ่งไปชั่วครู่ แน่นอนว่าเด็กหนุ่มผู้นำสาร์นรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่างที่ปลดปล่อยออกมาจากกายสาวอันเนียนละเอียดเบื้องหน้าของเขา ความรู้สึกบางอย่างบ่งบอกเป็นสัญชาตญาณแก่ตนว่า ประโยคพูดของเขาคงไปสะกิดต่อมอะไรสักอย่างของเธอเข้า

เด็กสาวละสายตาเหลือบมองร่างของผู้ส่งสาร์นที่ชันเข่าตรงหน้า ก่อนจะเอ่ยประโยคแรกของเธอขึ้นมาทำลายความเงียบ
“คิดว่า เจ้าจะผนึกข้าได้หรือ? บุตรแห่งเนเฟล แม้บิดาของเจ้าจะเป็นถึงสหายร่วมรบกับพระบิดาและพระอัยกาของข้าในสงครามจอมปิศาจผู้ทำลายสี่โลกเมื่อพันกว่าปีที่แล้วก็ตาม จริงอยู่ที่สายเลือดของเจ้า มีความเป็นเลิศทั้งเชิงเวทย์และเชิงยุทธ์ แต่...”

เปรี๊ยะๆๆๆ!!!

วงเวทย์รูปวงกลมสลักอักขระแห่งทวยเทพสีทองคำใส ปรากฎขึ้นและลอยหมุนอยู่รอบๆข้อมือของเด็กสาวผมสีทองอร่าม เส้นเกศาเริ่มเปล่งแสงสว่างจนแสบตา สะเก็ดไฟสีทองคำของเส้นเกศาบิดพลิ้วปลิวละล่องไปกับสายลม ยิ่งเสริมความน่าเกรงขามของผู้ที่อยู่เบื้องหน้าของเด็กหนุ่ม เขาเหงื่อแตกซิก ทำตัวไม่ถูก บางทีประโยคที่เอ่ยออกไปก่อนหน้านี้จะนำมาซึ่งความไม่พอใจไม่น้อยเลยทีเดียว

“โปรดหยุดเถิด ท่านเซร่า...”

เสียงของชายวัยกลางคนผู้หนึ่งดังขัดขึ้นที่มุมอับแสงในวิหาร เนเฟล และ เซร่า หันควับไปมองร่างทะมึนที่กำลังเดินพ้นเงานั้นออกมาปรากฏกาย ท่ามกลางลำแสงที่ลอดผ่านกลีบเมฆเบื้องบน

เขาเป็นชายวัยกลางคนผู้มีเกศาสีบรอนซ์สะท้อนแสงอาทิตย์ยามบ่ายเป็นประกาย ปีกสีขาวทั้งสี่ดุจเดียวกับปุยเมฆเบื้องหลังนั้นสื่อได้เลยว่าเขาเป็นเทพชั้นสูง ผู้เป็นหนึ่งวุฒิสมาชิกในสภาของเหล่าทวยเทพที่ปกครองโลกแห่งนี้อย่างแน่นอน

โดยมีองค์ มหาเทพลูเธอร์ ผู้สืบเชื้อสายมาจากมหาเทพตนแรกผู้จุติลงบนดินแดนแห่งทวยเทพแห่งนี้

แม้ดินแดนแห่งทวยเทพจะกว้างใหญ่ไพศาลอย่างที่เหล่าเทพรู้จักกันดี แต่ไม่ว่าจะส่วนไหนหรือเกาะใดๆของดินแดนนั้น ก็จะขึ้นตรงกับมหานครลอยฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในโลกแห่งนี้

ชื่อของมันก็คือ มหานคร เอร์กรอส

และเกาะที่อยู่สูงที่สุดในเขตของเอร์กรอสก็คือเกาะลอยฟ้า อันป็นเขตพระราชวังและวิหารที่พวกเขายืนอยู่นั่นเอง
พระราชวังในรูปแบบปราสาทอันมีประวัติศาสตร์ยาวนานและมีสีขาวโพลนกลมกลืนกับทิวทัศน์รอบๆนามของมันถูกขนานว่า วัลฮัลล่าห์

โดยเฉพาะกับวิหารนี้ ซึ่งอยู่ส่วนปลายของเกาะทางทิศตะวันตกของที่ตั้งปราสาทวัลฮัลล่าห์ ส่วนนี้เป็นจุดที่สูงที่สุดในเขตปราสาท นั่นหมายความว่า มันเป็นจุดยอดที่สูงที่สุดในดินแดนแห่งทวยเทพด้วย

วิหารประจำตัวที่ถูกสร้างขึ้นเมื่อหลายร้อนปีก่อนเพียงมหาเทพธิดาเพียงองค์เดียว เพียงเพื่อสนองความต้องการในการพักผ่อนหย่อนใจของเธอ ซึ่งก็คือเด็กสาวผมทองคำคนนี้นั่นเอง

ท่านฮูเกลส์!!!”

เนเฟลโพล่งด้วยความตกใจ พร้อมๆกับทำความเคารพด้วยการยกแขนขวาตั้งฉากกับลำตัว ชายวัยกลางคนผู้มีเกศาสีบรอนซ์สั้นเบื้องหน้าดูอาวุโสยิ่งนักต่อหน้าเทพหนุ่มเนเฟล ทว่าเป้าหมายของฮูเกลส์กลับมิใช่เนเฟล แต่เป็นผู้ที่มีประกายผมส่องแสงสีทองอร่ามเบื้องหลังแทน

สายตาของทวยเทพอาวุโสผู้มาใหม่บ่งบอกกับเด็กสาวเช่นนั้น

แถมยังบ่งบอกเป็นนัยลึกๆแก่เธอด้วยว่า สาเหตุที่เขามาที่นี่ก็คงมิใช่เรื่องอื่นใด เสียนอกจากเรื่องเดียวกับที่เนเฟลนำมาหาเธอ

“ลุงฮูเกลส์? อย่าบอกนะว่า ลุงก็มาด้วยเหตุเช่นเดียวกับเนเฟล”
“ใช่แล้วพะย่ะค่ะ สมกับที่เป็นท่านเซร่า องค์หญิงผู้มีศักดิ์ในการสืบทอดบัลลังก์แห่งดินแดนเทพ ข้าก็คาดเดาได้อยู่แล้ว่าเนเฟลคงขอร้องท่านมิสำเร็จ ดังนั้นข้าก็ต้องมาหาท่านด้วยตัวเอง และเหตุที่ท่านต้องเข้าร่วมประชุมเหล่าเทพอาวุโสครั้งนี้ก็เพราะว่า...”

ฮูเกลส์หยุดกึกไปสักครู่ พลางสบดวงเนตรสีเขียวเข้มดุจผืนป่าดงดิบนั้น

“เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก รายละเอียดท่านจำต้องไปฟังเองในการประชุม ถ้าหากให้ข้าเล่าคงไม่ไหว ซ้ำเรื่องนี้ก็ยังหารือกันมิจบ แต่ที่แน่ๆ ท่านลูเธอร์ พระบิดาของท่าน ตัดสินพระทัยส่งท่านลงไปจุติบนโลกมนุษย์!”

!!!!!

ความเงียบเข้าครอบงำสามเทพกลางวิหาร โดยเฉพาะกับเด็กสาว เธอพูดอะไรไม่ออก แม้เพียงจะถามเหตุผลของการตัดสินใจของพระบิดาของเธอก็ยังมิอาจนึกได้ทัน

ประกายผมและสะเก็ดเพลิงสีทองค่อยๆสลายหายไป เกศาที่เคยเรืองอร่ามหลี่ออร่าลง จนเหลือเพียงเป็นสีทองคำธรรมดาๆ แสดงถึงความรู้สึกของผู้ที่ถูกขนานนามว่าองค์หญิงได้เป็นอย่างดี

ครานี้เธอคงไม่มีอารมณ์ที่จะเอาเรื่องเด็กหนุ่มผู้นำสาร์นแล้วแต่อย่างใด กลับกันคำตอบของผู้ที่ชื่อว่าเป็นพ่อของเธอกลับทำให้เธอหลุดสติไปเสียมากกว่า

“จุติ!? เพื่ออะไรลุงฮูเกลส์? หากมิใช่เรื่องใหญ่ เสด็จพ่อคงไม่ตัดสินพระทัยเช่นนี้กระมั้ง”

เซร่า ถามขึ้นด้วยเสียงกึ่งสงสัยกึ่งตกใจ เป็นที่รู้กันดีในดินแดนแห่งทวยเทพว่า การจุติ มีความหมายสำคัญแค่ไหน การจุติคือการโอนถ่ายพลังมานาทั้งหมดในร่างของเทพ แล้วส่งผ่านต้นไม้แห่งโลกไปยังดินแดนที่ต้องการถือกำเนิด ร่างที่ถือกำเนิดใหม่นั้นจะคงพลังมานาที่โอนถ่ายมาทั้งหมดเอาไว้ ความสามารถทุกอย่างก่อนที่จุติจะยังคงอยู่เช่นกัน เพียงแต่ในระยะสิบห้าปีแรกของการจุติ จะไม่สามารถเรียกคืนความทรงจำก่อนจุติได้ นั่นเป็นจุดอ่อนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ทว่าข้อดีที่เหล่าเทพต่างรู้กันก็คือ การจุตินั้น สามารถคงสภาพพลังทั้งหมดเอาไว้ได้ จนกว่าร่างนั้นจะสูญสลายไปตามอายุขัย

“ส่วนสาเหตุที่ต้องส่งท่านไปนั้นอาจเป็นเพราะ ช่วงเวลานี้ ท่านเป็นผู้ที่มีพลังมากที่สุดในดินแดนเทพ”

ฮูเกลส์ตอบกลับ แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าหญิงเกศาทองคำอยากรู้ เธอกำลังมองว่าเขาบ่ายเบี่ยงหัวข้อการสนทนา

“นั่นไม่ใช่ประเด็น ลุงฮูเกลส์! ข้าต้องการรู้ว่าเหตุใดถึงต้องส่งจุติเทพเช่นข้าลงไปยังโลกมนุษย์!”
“หากท่านถามรายละเอียดข้าเช่นนี้ ข้าแนะนำว่า ท่านควรไปร่วมประชุมเหล่าเทพ กับข้าเสียตอนนี้จะได้เรื่องได้ราวกว่า”

ฮูเกลส์ส่งยิ้มให้เด็กสาว พลางเดินนำเธอออกไปด้านหลังของวิหาร แน่นอนว่ามีทางเดียวที่จะทราบเหตุผลครั้งยิ่งใหญ่นี้คือ เธอต้องตามเขาไปร่วมประชุมเหล่าเทพด้วยเท่านั้น

ปฐมบทแห่งตำนาน - บทย่อยที่ 1 ความหวังของ ซิลฟา แอล ลูเซียร์ โลเลนเซียร์

นานแสนนานมาแล้ว ยังคงมีตำนานๆหนึ่งของโลกมนุษย์ ตำนานที่เคยถูกกล่าวขานว่าเป็นหนึ่งในตำนานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่ง นับตั้งแต่ที่มนุษยเพิ่งเริ่มมีการบันทึกเรื่องราวจารึกประวัติศาสตร์มานับพันนับหมื่นปี

มหาสงครามครั้งนั้น ไม่ได้เป็นเพียงแค่สงครามแย่งชิงดินแดนธรรมดาๆอย่างที่พวกมนุษย์กระทำกันตลอดระยะเวลาแห่งการเรืองอำนาจของเหล่าผู้แสวงหาความเป็นใหญ่ หากแต่สิ่งที่พวกเขาต้องจารึกไว้นั้นกลับเป็นการเผชิญหน้าของกันระหว่างสิ่งมีชีวิตที่มีศักดิ์และพลังเหนือกว่าพวกเขา

การเผชิญหน้ากันระหว่างเด็กสาว และเด็กหนุ่มคู่หนึ่ง แม้ภายนอกจะดูธรรมดาแต่ทั้งคู่ก็มีศักดิ์เป็นถึงเจ้าหญิงและเจ้าชายของทั้งสองโลกที่อยู่เหนือกว่าแดนมนุษย์

จากเหตุการณ์นั้น มันถูกเล่ากันปากต่อปากจนกลายเป็น ตำนานมหาสงครามครั้งยิ่งใหญ่ ในแผ่นทวีปๆหนึ่งบนโลกมนุษย์

ชาวทวีปเรียกแผ่นทวีปสีเขียวขจีนี้ว่า เทอร์ร่า อาณาจักรน้อยใหญ่มีถิ่นฐานกำเนิดและตั้งอยู่บนแผ่นทวีปนี้ ไม่มีผู้ใดทราบถึงความกว้างใหญ่ไพศาลของมัน เหล่านักสำรวจนับร้อยนับพันที่มีอยู่ต่างตั้งสมมติฐานลักษณะของเทอร์ร่าบ้างว่าทวีปนี้แบนราบราวกับหน้ากลอง บ้างว่าผืนทวีปทั้งหมดล้วนเชื่อมเข้ากันเป็นทรงกลมดุจลูกแก้ว แต่ก็ยังไม่มีผู้ใดกล้าสำรวจและค้นคว้าอย่างจริงจัง นอกจากติดปัญหาทางด้านสมมติฐานแล้วพวกเขายังมีปัญหาทางด้านสงครามบนแผ่นทวีประหว่างเผ่าพันธุ์เดียวกันที่มีมาช้านาน การมีอยู่ของหลากอาณาจักรย่อมต้องมีสงครามแย่งชิงดินแดนกันเป็นธรรมดา ไม่ว่าอาณาจักรใดต่างก็ต้องการครอบครองพื้นที่เพื่อขยายอาณาเขตของอาณาจักรตน อันเป็นการแสดงถึงแสนยานุภาพข่มขวัญแก่ อาณาจักรอื่นๆ

เทอร์ร่าเมื่อครั้งอดีตก่อนที่จะมีเผ่าพันธุ์ที่เรียกว่า มนุษย์ นั้น ดำรงซึ่งความอุดมสมบูรณ์จนถึงที่สุด กระทั่งมนุษย์ยุคแรกถือกำเนิดมา เปลวเพลิงสีแดงส้มต่างโชติช่วงขึ้นมาแทนที่พื้นที่สีเขียว เกือบทุกอย่างแทบตกอยู่ในเปลวเพลิงแห่งอำนาจของเหล่าผู้ซึ่งต้องการครอบครองดินแดนทั้งหลาย สงครามน้อยใหญ่ผุดขึ้นเป็นดั่งดอกเห็ดแทบทุกหย่อมหญ้า จนหลายคนที่ต้องการแสวงหาความสงบสุขเริ่มเอือมระอา

ท่ามกลางไฟสงครามระหว่างอาณาจักรนั้น ยังคงมีอาณาจักรเล็กๆห่างไกลที่รอดพ้นจากการล่าอาณานิคมของอาณาจักรใหญ่ อาณาจักรอันถูกห้อมล้อมด้วย เทือกเขาหิมะนาม “เดเวียส ”เป็นปราการธรรมชาติทิศเหนือจรดทิศตะวันตก มีป่าแห่งเอลฟ์ “คลอเรียร์ ” ปกคลุมพื้นที่ฝั่งตะวันออก และยังมีทะเลสาบอย่าง “เอลซิลวาร์” ป้องกันจากศัตรูต่างแดนทางทิศใต้

อาณาจักรเล็กๆแห่งนี้ถูกขนานนามว่า โลเลนเซียร์

แม้จะไม่ยิ่งใหญ่ เฉกเช่นมหาอาณาจักรอื่นๆ แต่ดำรงความสงบสุขไว้ได้มากกว่า ประชาชนภายในอาณาจักรเล็กๆที่โอบล้อมด้วยธรรมชาติเหล่านี้ ต่างมีอัธยาศัยดี รวมไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างเหล่าราชวงศ์ก็แน่นแฟ้น

ราชา ซิลฟา แอล ลูเซียร์ โลเลนเซียร์ ผู้ทรงปรีชาและมากด้วยความสามารถทั้งทางเวทมนตร์ การต่อสู้และการปกครองมาตั้งแต่สมัยพระองค์ยังทรงพระเยาว์นั้นต่างก็เป็นที่เคารพและรักใคร่ของปวงชนในโลเลนเซียร์ไม่ต่างจากราชาองค์ก่อนนัก ราชวงค์แห่งโลเลนเซียร์ มิมีผู้ใดไม่เคยใกล้ชิดราษฎร

แต่กระนั้น แม้จะเป็นถึงกษัตริย์ผู้ปกครองอาณาจักรแต่ก็ต้องมีเรื่องให้ทรงกลัดกลุ้มพระทัยอยู่บ้าง

ปัญหากลัดกลุ้มสำหรับองค์ราชาแห่งโลเลนเซียร์นั้น กลับมิใช่เรื่องสงครามล่าอาณานิคมที่กำลังลุกโชนดุจเปลวเพลิงไม่ หากแต่เป็นเรื่องส่วนพระองค์ที่ทรงกลัดกลุ้มมานานหลายปีเสียมากกว่า

“เอลี่...” เสียงชายวัยกลางคนผู้มีฐานันดร เป็นถึงกษัตริย์บ่งบอกได้ถึงความเศร้าลึกๆกับพระชายาของพระองค์ในห้องบรรทม ชายวัยกลางคนที่กำลังย่างเข้าสู่วัยชราเดินวนเวียนไปยังหน้าต่างมองออกไปยังท้องฟ้าอันแสนกว้างใหญ่ พลางเดินวกกลับมาที่เก้าอี้ทรงสูงบุกำมะหยี่สีแดงเลือดหมูตัดด้วยสีทองอร่ามของที่เท้าแขน ประดับประดาด้วยเพชรพลอยนานาชนิด

หญิงวัยกลางคนสาวเท้าก้าวเข้าไปหาองค์ราชาพลางเอ่ยคำถามที่ตนเองคิดว่า น่าจะใช่ออกไป

“ซิลฟา ท่านยังทรงกลุ้มพระทัยเรื่องพระราชทายาทอีกหรือเพคะ?”

ไม่มีเสียงตอบกลับ เพียงนั้นองค์ราชินีกลับรู้สึกได้ด้วยใจว่า คำตอบของพระองค์คือ ใช่

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกของ ซิลฟา แอล ลูเซียร์ โลเลนเซียร์ที่เอ่ยท้อแท้พระทัย แต่เป็นครั้งที่หลายสิบได้ ถ้า เอลี่ แอล ลูเซียร์ โลเลนเซียร์
ยังจำครั้งแรกของพระสวามีได้ว่าเริ่มเอ่ยประโยคนี้เมื่อไหร่

“ซิลฟา ท่านทรงกังวลพระทัยเกินไปหรือเปล่าเพคะ? ท่านก็ยังมิทรงพระชันษามาก กายข้าก็ยังมีพระราชทายาทได้ ท่านจะยังทรงกังวลไปทำไมเพคะ?”

“เอลี่ เจ้าก็รู้นี่ ตอนนี้ก็อดแลนด์ รวมไปถึงอาณาจักรฝั่งตะวันออกต่างก็ออกล่าอาณานิคมเป็นการใหญ่ หากวันใดที่พวกนั้นรุกล้ำเข้ามายังโลเลนเซียร์ และสังหารข้าได้ ผู้ที่จะสืบทอดราชบัลลังก์ต่อจากข้าจะมีผู้ใดเล่า?”

เป็นประโยคที่ราชินีเอลี่ได้ยินจนถอนหายใจมาหลายคราแล้ว

“ท่านก็มักจะตรัสสิ่งที่เป็นไปได้ยากเสมอเลยนะเพคะ ปราการแห่งเดเวียส ปกป่าแห่งคลอเรียร์ แล กระแสวารีแห่งเอลซิลวาร์ ยังคงสถิตอยู่กับโลเลนเซียร์ ท่านทรงเห็นอาณาจักรเล็กอื่นๆหรือไม่ ต่างปราชัยแก่มหาอาณาจักรก็อดแลนด์ทั้งสิ้น แต่ที่พระสันตะปาปาแห่งก็อดแลนด์ยังมิอาจสั่งการให้บุกโจมตีโลเลนเซียร์ได้ มิใช่เพราะปราการธรรมชาติเหล่านั้นหรือ?”

เหมือนแวบหนึ่งที่องค์ราชาเสมือนนึกได้ว่า พระองค์ยังคงมีป้อมปราการที่โลกใบนี้มอบให้มาตั้งแต่เริ่มการก่อร่างสร้างอาณาจักรของสมัยต้นราชวงศ์

เทือกเขาหิมะนามว่า เดเวียส นั้น นักเดินทางและนักผจญภัยทั้งหลายต่างยกให้มันเป็นอันดับต้นๆของเทอร์ร่าว่า เป็นที่สุดของความหนาวเหน็บ เดเวียสเป็นสถานที่ๆมนุษย์ไม่ควรจะข้ามผ่านเป็นอย่างยิ่ง แค่เพียงตีนของเทือกเขาความเย็นของอากาศที่ติดลบนั้นมีโอกาสสร้างความเจ็บปวดจากอาการน้ำแข็งกัดได้เพียงไม่กี่นาทีที่เข้าไปในเขตของมัน พายุหิมะที่มีอยู่ตลอดเวลาราวกับเป็นการสรรค์สร้างและลงเวทมนตร์ไว้ของพระผู้เป็นเจ้าซึ่งประสงค์จะให้มันเป็นเขตแดนกันทิศเหนือของโลเลนเซียร์ไว้จากอาณาจักรอื่นๆทางเหนือ

แต่การที่นักผจญภัยหลายคนยอมเสี่ยงที่จะทิ้งชีวิตไว้กับยักษ์ใหญ่แห่งโลเลนเซียร์นั้นเพียงเพราะ ตำนานที่ชนเผ่าใกล้ตีนเขาล่ำลือกันถึงอาวุธระดับแรร์ที่เกิดจากการตกผลึกของพายุหิมะบนยอดเขานั่นเอง

คำล่ำลือที่ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าจริงหรือไม่นั้นดึงดูดนักล่าสมบัติและนักผจญภัยจากแทบทุกสารทิศให้เอาชีวิตไปทิ้งไว้เพียงแค่ตีนเทือกเขาเท่านั้น กับบางคนที่ทนทานหน่อย ไปกันเป็นทีมพร้อมเหล่าจอมเวทย์สายน้ำแข็งที่พอจะมีเวทมนตร์กันน้ำแข็งอยู่บ้าง

แต่ก็ใช่ว่าจะรอด

ตราบเท่าทุกวันนี้ เรื่องราวของอาวุธลึกลับบนยอดของเทือกเขาแห่งเดเวียสนั้นก็ยังเป็นปริศนาและคำล่ำลือกันต่อไป พร้อมประกาศิตที่เชื้อเชิญวิญญาณเหล่านักท่องเที่ยวทั่วเทอร์ร่าให้ไปทิ้งมันไว้ ณ ที่นั้น

ไม่ไกลจากทิศเหนือที่เชื่อมต่อกับทิศตะวันตก เทือกเขาแห่งเดเวียสตั้งแนวทอดยาวโค้งอ้อมมาสุดที่พงไพรลึกลับด้านตะวันตก
พฤกษาแลหมู่แมกไม้นานาพรรณอันโก่งโค้งน้อมรับแสงอาทิตย์อันอบอุ่นตลอดระยะเวลาที่กำเนิดโลกมา ราวกับว่ามันไม่มีฤดูอื่นนอกจากฤดูใบไม้ผลิ สถานที่แห่งนี้นับว่ามีความแตกต่างทางด้านภูมิศาสตร์และสภาพอากาศกับยักษ์ใหญ่แห่งโลเลนเซียร์โดยสิ้นเชิง
ผู้คนในอาณาจักรขนานนามของพงไพรแห่งวสันตฤดูนี้ว่า คลอเรียร์

เหล่าสรรพสัตว์ต่างอาศัยอยู่ภายในปกป่าแห่งนี้มาช้านานพอๆกับสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งที่นับได้ว่าเป็นอันตรายกับมนุษย์แปลกหน้าที่มิใช่ผู้มีกลิ่นอายแห่งโลเลนเซียร์

พวกเธอคือ เผ่าพันธุ์แห่ง เอลฟ์

พันธะสัญญาของมนุษย์ในโลเลนเซียร์และเอลฟ์แห่งคลอเรียร์นั้นมีความสัมพันธ์อันดีมาช้านาน ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งอาณาจักร ราชาแคลเทียร์ เฟียร์ ลูเซียร์ โลเลนเซียร์ทรงเล็งเห็นแล้วว่า การได้เชื่อมสัมพันธ์ระหว่างโลเลนเซียร์และเอลฟ์นั้นจะก่อให้เกิดขุมกำลังยามที่บ้านเมืองเกิดศึกสงคราม มีหลายครั้งที่โลเลนเซียร์ถูกรุกรานจากทางด้านตะวันตกแต่พวกเขาก็มีขุมกำลังแห่งเอลฟ์เข้าสมทบเสมอ

เช่นเดียวกับเผ่าเอลฟ์ยามที่เข้าสู่ฤดูที่ผลผลิตทางการเกษตรลดน้อย พวกเธอก็ได้ชาวโลเลนเซียร์เกื้อหนุนทางด้านเสบียงเช่นกัน

และก็มีหลายครั้งที่เอลฟ์สาวตกลงปลงใจแต่งงานกับชายหนุ่มชาวมนุษย์ ทำให้ลูกหลานที่สืบต่อกันมามีสายเลือดลูกครึ่งเอลฟ์และมนุษย์ผสมอยู่ด้วยกัน แม้จะไม่เสมอไปแต่เผ่าพันธุ์เอลฟ์ก็ธำรงสืบเผ่าพันธุ์อยู่ได้แค่เพียงพวกเธอดื่มน้ำค้างจากต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ภายในหมู่บ้าน ก็สามารถมีบุตรีได้เช่นกัน

และกับสิ่งสุดท้ายที่องค์ราชาแห่งโลเลนเซียร์เกือบลืมไปเสียสนิทหลังจากที่พระราชินีเอลี่เอ่ยกับพระองค์

กระแสวารีแห่งเอลซิลวาร์

ทะเลสาบลึกลับปริศนาที่หลายครั้งเคยมีสายอาชีพนักสำรวจเดินทางดำลึกลงสู่ก้นบึ้งแห่งทะเลสาบแห่งความตาย แน่นอนว่าพวกเขาที่เคยได้เข้าไปนั้นไม่เคยมีผู้ใดรอดเงื้อมมือมัจจุราชใต้น้ำกลับออกมาอีกเลย

หลายครั้งที่กษัตริย์หลายต่อหลายรุ่นของโลเลนเซียร์พยายามเจรจากับสิ่งมีชีวิตใต้ผืนน้ำสีครามแห่งเอลซิลวาร์แต่ไม่เป็นผลสำเร็จ พวกมันไม่เข้าใจภาษามนุษย์เหมือนพวกเอลฟ์ ไม่ใช่ว่าจะไม่เข้าใจอะไรเลยแต่ดูเหมือนเหล่ามัจจุราชใต้น้ำเหล่านั้นจะถูกสาปให้ปกป้องอะไรสักอย่างใต้ผืนน้ำแห่งนี้ และไม่เป็นมิตรกับทุกสิ่งที่ลุกล้ำเข้าไป

กระทั่งคราหนึ่งที่ข่าวลือบางอย่างเกี่ยวกับสิ่งที่อยู่ใต้ทะเลสาบ ถูกค้นพบโดยคณะนักสำรวจกลุ่มหนึ่ง ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวเล่าว่าจุดที่ลึกที่สุดของเอลซิลวาร์ถูกสิ่งมีชีวิตคล้ายสัตว์เลื้อยคลานขนาดยักษ์หลายสิบตัว วนเวียนพิทักษ์อะไรบางอย่าง

ลักษณะของมันเหมือนกับประตูหินอ่อนบานใหญ่ใต้น้ำ ลวดลายแปลกตา นักสำรวจผู้เป็นหัวหน้าคณะและเป็นผู้รอดเพียงหนึ่งคาดเดาว่า บางทีสิ่งนี้อาจจะไม่ใช่ฝีมือของมนุษย์ มนุษย์ไม่มีทางที่จะสร้างสิ่งที่ใหญ่โตขนาดนี้ภายใต้ผืนน้ำที่มีแรงดันมหาศาลและ อสูรอันมากมายขนาดนี้ได้

จากคำบอกเล่าของเขาและข่าวลือที่กระจายออกไป ทำให้นักล่าสมบัติมากมายคาดหวังบางสิ่งเบื้องหลังประตูบานนั้น จนกระทั่งมีหลายครั้งเกิดการล่าใต้น้ำขึ้น แต่นั่นก็ไม่ได้ต่างอะไรกับการเหยียบยักษ์ใหญ่แห่งโลเลนเซียร์ ทุกชีวิตที่ผ่านใต้น้ำไปไม่เคยได้โผล่กลับขึ้นมาอีกเลย

และนี่ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งของทิศใต้ที่ไม่ว่าอาณาจักรใดๆก็มิอาจข้ามผืนน้ำแห่งนี้เข้ามาได้

องค์กษัตริย์ ซิลฟา ยังทรงครุ่นคิดอยู่สักพักก่อนจะถอนหายใจ คราวนี้ทรงคิดซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้งแล้ว แต่ด้วยความที่ทรงมีนิสัยส่วนพระองค์ซึ่งเป็นผู้ที่ชอบคิดมากเกินไปนั่นเอง

“ใช่ว่ามันจะเป็นไปไม่ได้นี่เอลี่ ข้ามิได้กังวลเกินไปหรอก เพียงแค่ข้ามองการณ์ภายหน้าแล้วก็นึกอดคิดเสียมิได้” ซิลฟาเอ่ย

“แล้วสิ่งนั้นมิใช่ความกังวลหรือเพคะ?”

คำพูดของราชินีเอลี่ ชวนให้องค์ราชาซิลฟาทรงแย้มพระสรวลออกมา พลางจับพระหัตถ์ของพระชายาคู่กายจูงเดินออกไปที่ระเบียงปราสาท ปุยเมฆสีขาวยามบ่ายเคลื่อนคล้อยบังแสงอาทิตย์ให้ส่องลงมาเพียงรำไร ราวกับว่ามันไม่ต้องการให้ผู้มีบุญญาธิการทั้งสองได้ต้องแสงอันร้อนระอุของฤดูร้อนอย่างไรอย่างนั้น

“นั่นสินะ เอลี่ ข้าคงจะกังวลเกินไปจริงๆนั่นแหละ ข้าก็หวังว่าสักวันความต้องการของข้าจะสมปรารถนาได้เช่นเดียวกับผู้อื่นบ้าง”

“ท่านต้องทรงศรัทธาเพคะ ศรัทธาต่อพระผู้เป็นเจ้า ข้าอ้อนวอนแด่พระผู้เป็นเจ้าทุกคืนวัน ข้าก็หวังในใจว่าสักวันข้าและท่านจะมีพระราชทายาทสืบทอดราชบัลลังก์เช่นกัน”

“ข้าขอบใจเจ้ามากนะเอลี่ เพราะเจ้าแท้ๆเลย ข้าถึงได้สบายใจขึ้น”

“มิเป็นไรเพคะ ข้าอยู่เคียงข้างท่านเสมอ พระสวามีแห่งข้า”

องค์กษัตริย์ละสายตาจากราชินีเอลี่ พลางทอดพระเนตรออกไปยังทุ่งหญ้ากว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาเบื้องหน้า ถึงแม้จะยังทรงมีความกังวลอยู่ลึกๆ แต่ตราบเท่าที่ยังมีราชินีเอลี่อยู่เคียงข้าง ตราบที่ยังมีความหวังและศรัทธา พระองค์ก็ยังเชื่อว่าสักวันความปรารถนานั้นจะเป็นจริง

เหล่าปุยเมฆสีขาวดูเหมือนจะเป็นใจ เมื่อพวกมันแยกออกจากกันเล็กน้อยพอที่เกิดช่องว่างให้เกิดลำแสงสาดส่องลงมาตกทอดยาวเหนือปราสาท เอลเดลไฮน์แห่งโลเลนเซียร์ เสมือนพระเจ้ากำลังรับฟังคำขอของกษัตริย์ผู้ปกครองอาณาจักรเล็กๆแห่งนี้ก็มิปาน

“พระเจ้า หากข้าและเอลี่ศรัทธาแก่ท่าน ท่านจะทรงช่วยอำนวยอวยพรแด่เราทั้งสองหรือไม่ อันตัวเรานี้ไม่ต้องการสิ่งใดอีกนอกจากความสงบสุขของอาณาจักรนี้ แลพระราชทายาทสืบราชบัลลังก์ ขอเพียงเท่านี้ก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว!”

เป็นประโยคอ้อนวอน จากราชาผู้ปกครองดินแดนเล็กๆต่อพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ที่เหล่ามวลมนุษย์ต่างก็ไม่มีผู้ใดรู้ว่า มีจริงหรือไม่ก็ตาม

คำนำ - C.Kattapol of the DimensionCalidor

สวัสดีครับ ขอขอบคุณทุกท่านที่ "เผลอ" หลงเข้ามาอ่านและติ(แล้วชมหายไปไหน? ไม่มี๊ไม่มี ผมมันมือใหม่ครับ ><~*) นิยายของผมนะครับ ผมก็ไม่ใช่พวกอักษรศาสตร์หรือพวกเอกภาษาไทยที่จะใช้คำสวยหรู โก้ หรืออะไรที่พอจะบรรยายและพรรณนาให้ทุกท่านเห็นภาพได้แบบนั้น ผมก็เป็นแค่เด็กวิศวฯคนหนึ่งที่วันๆเวลาเรียนก็เรียน เครียดก็แต่งนิยาย อยากได้อะไรที่มันไม่มีโอกาสจะได้ หรือไม่มีในโลก ก็เอาไปลงในนิยายให้มันมีขึ้นมาจริงๆตามที่อยากให้มี(ผมโลภมไหมครับ? - -") แต่ก็นั่นแหละ เพราะว่าบางทีความสุขของคนเรามันก็ไปได้หลายทางเหมือนกันครับ(บางครั้งก็เล่นเกมแก้เซ็งกรณีที่ไม่มีอารมณ์แต่งต่อ เพราะขืนฝืนไปนิยายจะเละอ่ะ _ _")

จากประสบการณ์การอ่านนิยายของผมที่อ่านมาหลายเรื่อง บวกกับการเล่นเกมและจินตนาการส่วนตัวก็เลยทำให้เกิด นิยายเรื่องนี้ขึ้นมา เชื่อไหมว่า โครงเรื่องผมร่างไว้ตั้งแต่เมื่อสัก 3 ปีที่แล้วได้ แต่ CG ยังไม่ถึงเล่่ยยังสร้างไม่ได้ เอ้ย! ผิดแล้ว ไม่ใช่ Avatar - -" พูดเล่นครับผมแค่ไม่พร้อมเท่านั้นเอง

บางทีการอ่านนิยายผมอาจจะทำให้พวกท่านอารมณ์เสียก็ได้ เพราะบางที่บางคำมันก็อาจจะผิดที่ผิดทางไปหน่อยก็จะพยายามปรับปรุงแล้วกันครับ ส่วนเรื่องของตอนที่ออกนั้น ผมคาดว่าแต่ละตอนคงนานสักหน่อย เหตุเพราะ เนื่องจากเด็กวิศวฯมันสอบเยอะครับ - -" เยอะมาก ถึง เยอะโคตร(เจือกยากอีก) ขืนผมมัวแต่แต่งนิยายก็เรียนไม่จบกันพอดี -0-

ช่วงปิดเทอมจะพยายามแต่งให้เยอะที่สุดเท่าที่เยอะได้ ซึ่งคุณภาพก็ต้องดีตามไปด้วยครับ

หากมีอะไรติชม(มีชมแว้ว) แนะนำมาได้เลยครับ ^^"