วันเสาร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2553

ปฐมบทแห่งตำนาน - บทย่อยที่ 1 ความหวังของ ซิลฟา แอล ลูเซียร์ โลเลนเซียร์

นานแสนนานมาแล้ว ยังคงมีตำนานๆหนึ่งของโลกมนุษย์ ตำนานที่เคยถูกกล่าวขานว่าเป็นหนึ่งในตำนานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่ง นับตั้งแต่ที่มนุษยเพิ่งเริ่มมีการบันทึกเรื่องราวจารึกประวัติศาสตร์มานับพันนับหมื่นปี

มหาสงครามครั้งนั้น ไม่ได้เป็นเพียงแค่สงครามแย่งชิงดินแดนธรรมดาๆอย่างที่พวกมนุษย์กระทำกันตลอดระยะเวลาแห่งการเรืองอำนาจของเหล่าผู้แสวงหาความเป็นใหญ่ หากแต่สิ่งที่พวกเขาต้องจารึกไว้นั้นกลับเป็นการเผชิญหน้าของกันระหว่างสิ่งมีชีวิตที่มีศักดิ์และพลังเหนือกว่าพวกเขา

การเผชิญหน้ากันระหว่างเด็กสาว และเด็กหนุ่มคู่หนึ่ง แม้ภายนอกจะดูธรรมดาแต่ทั้งคู่ก็มีศักดิ์เป็นถึงเจ้าหญิงและเจ้าชายของทั้งสองโลกที่อยู่เหนือกว่าแดนมนุษย์

จากเหตุการณ์นั้น มันถูกเล่ากันปากต่อปากจนกลายเป็น ตำนานมหาสงครามครั้งยิ่งใหญ่ ในแผ่นทวีปๆหนึ่งบนโลกมนุษย์

ชาวทวีปเรียกแผ่นทวีปสีเขียวขจีนี้ว่า เทอร์ร่า อาณาจักรน้อยใหญ่มีถิ่นฐานกำเนิดและตั้งอยู่บนแผ่นทวีปนี้ ไม่มีผู้ใดทราบถึงความกว้างใหญ่ไพศาลของมัน เหล่านักสำรวจนับร้อยนับพันที่มีอยู่ต่างตั้งสมมติฐานลักษณะของเทอร์ร่าบ้างว่าทวีปนี้แบนราบราวกับหน้ากลอง บ้างว่าผืนทวีปทั้งหมดล้วนเชื่อมเข้ากันเป็นทรงกลมดุจลูกแก้ว แต่ก็ยังไม่มีผู้ใดกล้าสำรวจและค้นคว้าอย่างจริงจัง นอกจากติดปัญหาทางด้านสมมติฐานแล้วพวกเขายังมีปัญหาทางด้านสงครามบนแผ่นทวีประหว่างเผ่าพันธุ์เดียวกันที่มีมาช้านาน การมีอยู่ของหลากอาณาจักรย่อมต้องมีสงครามแย่งชิงดินแดนกันเป็นธรรมดา ไม่ว่าอาณาจักรใดต่างก็ต้องการครอบครองพื้นที่เพื่อขยายอาณาเขตของอาณาจักรตน อันเป็นการแสดงถึงแสนยานุภาพข่มขวัญแก่ อาณาจักรอื่นๆ

เทอร์ร่าเมื่อครั้งอดีตก่อนที่จะมีเผ่าพันธุ์ที่เรียกว่า มนุษย์ นั้น ดำรงซึ่งความอุดมสมบูรณ์จนถึงที่สุด กระทั่งมนุษย์ยุคแรกถือกำเนิดมา เปลวเพลิงสีแดงส้มต่างโชติช่วงขึ้นมาแทนที่พื้นที่สีเขียว เกือบทุกอย่างแทบตกอยู่ในเปลวเพลิงแห่งอำนาจของเหล่าผู้ซึ่งต้องการครอบครองดินแดนทั้งหลาย สงครามน้อยใหญ่ผุดขึ้นเป็นดั่งดอกเห็ดแทบทุกหย่อมหญ้า จนหลายคนที่ต้องการแสวงหาความสงบสุขเริ่มเอือมระอา

ท่ามกลางไฟสงครามระหว่างอาณาจักรนั้น ยังคงมีอาณาจักรเล็กๆห่างไกลที่รอดพ้นจากการล่าอาณานิคมของอาณาจักรใหญ่ อาณาจักรอันถูกห้อมล้อมด้วย เทือกเขาหิมะนาม “เดเวียส ”เป็นปราการธรรมชาติทิศเหนือจรดทิศตะวันตก มีป่าแห่งเอลฟ์ “คลอเรียร์ ” ปกคลุมพื้นที่ฝั่งตะวันออก และยังมีทะเลสาบอย่าง “เอลซิลวาร์” ป้องกันจากศัตรูต่างแดนทางทิศใต้

อาณาจักรเล็กๆแห่งนี้ถูกขนานนามว่า โลเลนเซียร์

แม้จะไม่ยิ่งใหญ่ เฉกเช่นมหาอาณาจักรอื่นๆ แต่ดำรงความสงบสุขไว้ได้มากกว่า ประชาชนภายในอาณาจักรเล็กๆที่โอบล้อมด้วยธรรมชาติเหล่านี้ ต่างมีอัธยาศัยดี รวมไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างเหล่าราชวงศ์ก็แน่นแฟ้น

ราชา ซิลฟา แอล ลูเซียร์ โลเลนเซียร์ ผู้ทรงปรีชาและมากด้วยความสามารถทั้งทางเวทมนตร์ การต่อสู้และการปกครองมาตั้งแต่สมัยพระองค์ยังทรงพระเยาว์นั้นต่างก็เป็นที่เคารพและรักใคร่ของปวงชนในโลเลนเซียร์ไม่ต่างจากราชาองค์ก่อนนัก ราชวงค์แห่งโลเลนเซียร์ มิมีผู้ใดไม่เคยใกล้ชิดราษฎร

แต่กระนั้น แม้จะเป็นถึงกษัตริย์ผู้ปกครองอาณาจักรแต่ก็ต้องมีเรื่องให้ทรงกลัดกลุ้มพระทัยอยู่บ้าง

ปัญหากลัดกลุ้มสำหรับองค์ราชาแห่งโลเลนเซียร์นั้น กลับมิใช่เรื่องสงครามล่าอาณานิคมที่กำลังลุกโชนดุจเปลวเพลิงไม่ หากแต่เป็นเรื่องส่วนพระองค์ที่ทรงกลัดกลุ้มมานานหลายปีเสียมากกว่า

“เอลี่...” เสียงชายวัยกลางคนผู้มีฐานันดร เป็นถึงกษัตริย์บ่งบอกได้ถึงความเศร้าลึกๆกับพระชายาของพระองค์ในห้องบรรทม ชายวัยกลางคนที่กำลังย่างเข้าสู่วัยชราเดินวนเวียนไปยังหน้าต่างมองออกไปยังท้องฟ้าอันแสนกว้างใหญ่ พลางเดินวกกลับมาที่เก้าอี้ทรงสูงบุกำมะหยี่สีแดงเลือดหมูตัดด้วยสีทองอร่ามของที่เท้าแขน ประดับประดาด้วยเพชรพลอยนานาชนิด

หญิงวัยกลางคนสาวเท้าก้าวเข้าไปหาองค์ราชาพลางเอ่ยคำถามที่ตนเองคิดว่า น่าจะใช่ออกไป

“ซิลฟา ท่านยังทรงกลุ้มพระทัยเรื่องพระราชทายาทอีกหรือเพคะ?”

ไม่มีเสียงตอบกลับ เพียงนั้นองค์ราชินีกลับรู้สึกได้ด้วยใจว่า คำตอบของพระองค์คือ ใช่

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกของ ซิลฟา แอล ลูเซียร์ โลเลนเซียร์ที่เอ่ยท้อแท้พระทัย แต่เป็นครั้งที่หลายสิบได้ ถ้า เอลี่ แอล ลูเซียร์ โลเลนเซียร์
ยังจำครั้งแรกของพระสวามีได้ว่าเริ่มเอ่ยประโยคนี้เมื่อไหร่

“ซิลฟา ท่านทรงกังวลพระทัยเกินไปหรือเปล่าเพคะ? ท่านก็ยังมิทรงพระชันษามาก กายข้าก็ยังมีพระราชทายาทได้ ท่านจะยังทรงกังวลไปทำไมเพคะ?”

“เอลี่ เจ้าก็รู้นี่ ตอนนี้ก็อดแลนด์ รวมไปถึงอาณาจักรฝั่งตะวันออกต่างก็ออกล่าอาณานิคมเป็นการใหญ่ หากวันใดที่พวกนั้นรุกล้ำเข้ามายังโลเลนเซียร์ และสังหารข้าได้ ผู้ที่จะสืบทอดราชบัลลังก์ต่อจากข้าจะมีผู้ใดเล่า?”

เป็นประโยคที่ราชินีเอลี่ได้ยินจนถอนหายใจมาหลายคราแล้ว

“ท่านก็มักจะตรัสสิ่งที่เป็นไปได้ยากเสมอเลยนะเพคะ ปราการแห่งเดเวียส ปกป่าแห่งคลอเรียร์ แล กระแสวารีแห่งเอลซิลวาร์ ยังคงสถิตอยู่กับโลเลนเซียร์ ท่านทรงเห็นอาณาจักรเล็กอื่นๆหรือไม่ ต่างปราชัยแก่มหาอาณาจักรก็อดแลนด์ทั้งสิ้น แต่ที่พระสันตะปาปาแห่งก็อดแลนด์ยังมิอาจสั่งการให้บุกโจมตีโลเลนเซียร์ได้ มิใช่เพราะปราการธรรมชาติเหล่านั้นหรือ?”

เหมือนแวบหนึ่งที่องค์ราชาเสมือนนึกได้ว่า พระองค์ยังคงมีป้อมปราการที่โลกใบนี้มอบให้มาตั้งแต่เริ่มการก่อร่างสร้างอาณาจักรของสมัยต้นราชวงศ์

เทือกเขาหิมะนามว่า เดเวียส นั้น นักเดินทางและนักผจญภัยทั้งหลายต่างยกให้มันเป็นอันดับต้นๆของเทอร์ร่าว่า เป็นที่สุดของความหนาวเหน็บ เดเวียสเป็นสถานที่ๆมนุษย์ไม่ควรจะข้ามผ่านเป็นอย่างยิ่ง แค่เพียงตีนของเทือกเขาความเย็นของอากาศที่ติดลบนั้นมีโอกาสสร้างความเจ็บปวดจากอาการน้ำแข็งกัดได้เพียงไม่กี่นาทีที่เข้าไปในเขตของมัน พายุหิมะที่มีอยู่ตลอดเวลาราวกับเป็นการสรรค์สร้างและลงเวทมนตร์ไว้ของพระผู้เป็นเจ้าซึ่งประสงค์จะให้มันเป็นเขตแดนกันทิศเหนือของโลเลนเซียร์ไว้จากอาณาจักรอื่นๆทางเหนือ

แต่การที่นักผจญภัยหลายคนยอมเสี่ยงที่จะทิ้งชีวิตไว้กับยักษ์ใหญ่แห่งโลเลนเซียร์นั้นเพียงเพราะ ตำนานที่ชนเผ่าใกล้ตีนเขาล่ำลือกันถึงอาวุธระดับแรร์ที่เกิดจากการตกผลึกของพายุหิมะบนยอดเขานั่นเอง

คำล่ำลือที่ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าจริงหรือไม่นั้นดึงดูดนักล่าสมบัติและนักผจญภัยจากแทบทุกสารทิศให้เอาชีวิตไปทิ้งไว้เพียงแค่ตีนเทือกเขาเท่านั้น กับบางคนที่ทนทานหน่อย ไปกันเป็นทีมพร้อมเหล่าจอมเวทย์สายน้ำแข็งที่พอจะมีเวทมนตร์กันน้ำแข็งอยู่บ้าง

แต่ก็ใช่ว่าจะรอด

ตราบเท่าทุกวันนี้ เรื่องราวของอาวุธลึกลับบนยอดของเทือกเขาแห่งเดเวียสนั้นก็ยังเป็นปริศนาและคำล่ำลือกันต่อไป พร้อมประกาศิตที่เชื้อเชิญวิญญาณเหล่านักท่องเที่ยวทั่วเทอร์ร่าให้ไปทิ้งมันไว้ ณ ที่นั้น

ไม่ไกลจากทิศเหนือที่เชื่อมต่อกับทิศตะวันตก เทือกเขาแห่งเดเวียสตั้งแนวทอดยาวโค้งอ้อมมาสุดที่พงไพรลึกลับด้านตะวันตก
พฤกษาแลหมู่แมกไม้นานาพรรณอันโก่งโค้งน้อมรับแสงอาทิตย์อันอบอุ่นตลอดระยะเวลาที่กำเนิดโลกมา ราวกับว่ามันไม่มีฤดูอื่นนอกจากฤดูใบไม้ผลิ สถานที่แห่งนี้นับว่ามีความแตกต่างทางด้านภูมิศาสตร์และสภาพอากาศกับยักษ์ใหญ่แห่งโลเลนเซียร์โดยสิ้นเชิง
ผู้คนในอาณาจักรขนานนามของพงไพรแห่งวสันตฤดูนี้ว่า คลอเรียร์

เหล่าสรรพสัตว์ต่างอาศัยอยู่ภายในปกป่าแห่งนี้มาช้านานพอๆกับสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งที่นับได้ว่าเป็นอันตรายกับมนุษย์แปลกหน้าที่มิใช่ผู้มีกลิ่นอายแห่งโลเลนเซียร์

พวกเธอคือ เผ่าพันธุ์แห่ง เอลฟ์

พันธะสัญญาของมนุษย์ในโลเลนเซียร์และเอลฟ์แห่งคลอเรียร์นั้นมีความสัมพันธ์อันดีมาช้านาน ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งอาณาจักร ราชาแคลเทียร์ เฟียร์ ลูเซียร์ โลเลนเซียร์ทรงเล็งเห็นแล้วว่า การได้เชื่อมสัมพันธ์ระหว่างโลเลนเซียร์และเอลฟ์นั้นจะก่อให้เกิดขุมกำลังยามที่บ้านเมืองเกิดศึกสงคราม มีหลายครั้งที่โลเลนเซียร์ถูกรุกรานจากทางด้านตะวันตกแต่พวกเขาก็มีขุมกำลังแห่งเอลฟ์เข้าสมทบเสมอ

เช่นเดียวกับเผ่าเอลฟ์ยามที่เข้าสู่ฤดูที่ผลผลิตทางการเกษตรลดน้อย พวกเธอก็ได้ชาวโลเลนเซียร์เกื้อหนุนทางด้านเสบียงเช่นกัน

และก็มีหลายครั้งที่เอลฟ์สาวตกลงปลงใจแต่งงานกับชายหนุ่มชาวมนุษย์ ทำให้ลูกหลานที่สืบต่อกันมามีสายเลือดลูกครึ่งเอลฟ์และมนุษย์ผสมอยู่ด้วยกัน แม้จะไม่เสมอไปแต่เผ่าพันธุ์เอลฟ์ก็ธำรงสืบเผ่าพันธุ์อยู่ได้แค่เพียงพวกเธอดื่มน้ำค้างจากต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ภายในหมู่บ้าน ก็สามารถมีบุตรีได้เช่นกัน

และกับสิ่งสุดท้ายที่องค์ราชาแห่งโลเลนเซียร์เกือบลืมไปเสียสนิทหลังจากที่พระราชินีเอลี่เอ่ยกับพระองค์

กระแสวารีแห่งเอลซิลวาร์

ทะเลสาบลึกลับปริศนาที่หลายครั้งเคยมีสายอาชีพนักสำรวจเดินทางดำลึกลงสู่ก้นบึ้งแห่งทะเลสาบแห่งความตาย แน่นอนว่าพวกเขาที่เคยได้เข้าไปนั้นไม่เคยมีผู้ใดรอดเงื้อมมือมัจจุราชใต้น้ำกลับออกมาอีกเลย

หลายครั้งที่กษัตริย์หลายต่อหลายรุ่นของโลเลนเซียร์พยายามเจรจากับสิ่งมีชีวิตใต้ผืนน้ำสีครามแห่งเอลซิลวาร์แต่ไม่เป็นผลสำเร็จ พวกมันไม่เข้าใจภาษามนุษย์เหมือนพวกเอลฟ์ ไม่ใช่ว่าจะไม่เข้าใจอะไรเลยแต่ดูเหมือนเหล่ามัจจุราชใต้น้ำเหล่านั้นจะถูกสาปให้ปกป้องอะไรสักอย่างใต้ผืนน้ำแห่งนี้ และไม่เป็นมิตรกับทุกสิ่งที่ลุกล้ำเข้าไป

กระทั่งคราหนึ่งที่ข่าวลือบางอย่างเกี่ยวกับสิ่งที่อยู่ใต้ทะเลสาบ ถูกค้นพบโดยคณะนักสำรวจกลุ่มหนึ่ง ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวเล่าว่าจุดที่ลึกที่สุดของเอลซิลวาร์ถูกสิ่งมีชีวิตคล้ายสัตว์เลื้อยคลานขนาดยักษ์หลายสิบตัว วนเวียนพิทักษ์อะไรบางอย่าง

ลักษณะของมันเหมือนกับประตูหินอ่อนบานใหญ่ใต้น้ำ ลวดลายแปลกตา นักสำรวจผู้เป็นหัวหน้าคณะและเป็นผู้รอดเพียงหนึ่งคาดเดาว่า บางทีสิ่งนี้อาจจะไม่ใช่ฝีมือของมนุษย์ มนุษย์ไม่มีทางที่จะสร้างสิ่งที่ใหญ่โตขนาดนี้ภายใต้ผืนน้ำที่มีแรงดันมหาศาลและ อสูรอันมากมายขนาดนี้ได้

จากคำบอกเล่าของเขาและข่าวลือที่กระจายออกไป ทำให้นักล่าสมบัติมากมายคาดหวังบางสิ่งเบื้องหลังประตูบานนั้น จนกระทั่งมีหลายครั้งเกิดการล่าใต้น้ำขึ้น แต่นั่นก็ไม่ได้ต่างอะไรกับการเหยียบยักษ์ใหญ่แห่งโลเลนเซียร์ ทุกชีวิตที่ผ่านใต้น้ำไปไม่เคยได้โผล่กลับขึ้นมาอีกเลย

และนี่ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งของทิศใต้ที่ไม่ว่าอาณาจักรใดๆก็มิอาจข้ามผืนน้ำแห่งนี้เข้ามาได้

องค์กษัตริย์ ซิลฟา ยังทรงครุ่นคิดอยู่สักพักก่อนจะถอนหายใจ คราวนี้ทรงคิดซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้งแล้ว แต่ด้วยความที่ทรงมีนิสัยส่วนพระองค์ซึ่งเป็นผู้ที่ชอบคิดมากเกินไปนั่นเอง

“ใช่ว่ามันจะเป็นไปไม่ได้นี่เอลี่ ข้ามิได้กังวลเกินไปหรอก เพียงแค่ข้ามองการณ์ภายหน้าแล้วก็นึกอดคิดเสียมิได้” ซิลฟาเอ่ย

“แล้วสิ่งนั้นมิใช่ความกังวลหรือเพคะ?”

คำพูดของราชินีเอลี่ ชวนให้องค์ราชาซิลฟาทรงแย้มพระสรวลออกมา พลางจับพระหัตถ์ของพระชายาคู่กายจูงเดินออกไปที่ระเบียงปราสาท ปุยเมฆสีขาวยามบ่ายเคลื่อนคล้อยบังแสงอาทิตย์ให้ส่องลงมาเพียงรำไร ราวกับว่ามันไม่ต้องการให้ผู้มีบุญญาธิการทั้งสองได้ต้องแสงอันร้อนระอุของฤดูร้อนอย่างไรอย่างนั้น

“นั่นสินะ เอลี่ ข้าคงจะกังวลเกินไปจริงๆนั่นแหละ ข้าก็หวังว่าสักวันความต้องการของข้าจะสมปรารถนาได้เช่นเดียวกับผู้อื่นบ้าง”

“ท่านต้องทรงศรัทธาเพคะ ศรัทธาต่อพระผู้เป็นเจ้า ข้าอ้อนวอนแด่พระผู้เป็นเจ้าทุกคืนวัน ข้าก็หวังในใจว่าสักวันข้าและท่านจะมีพระราชทายาทสืบทอดราชบัลลังก์เช่นกัน”

“ข้าขอบใจเจ้ามากนะเอลี่ เพราะเจ้าแท้ๆเลย ข้าถึงได้สบายใจขึ้น”

“มิเป็นไรเพคะ ข้าอยู่เคียงข้างท่านเสมอ พระสวามีแห่งข้า”

องค์กษัตริย์ละสายตาจากราชินีเอลี่ พลางทอดพระเนตรออกไปยังทุ่งหญ้ากว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาเบื้องหน้า ถึงแม้จะยังทรงมีความกังวลอยู่ลึกๆ แต่ตราบเท่าที่ยังมีราชินีเอลี่อยู่เคียงข้าง ตราบที่ยังมีความหวังและศรัทธา พระองค์ก็ยังเชื่อว่าสักวันความปรารถนานั้นจะเป็นจริง

เหล่าปุยเมฆสีขาวดูเหมือนจะเป็นใจ เมื่อพวกมันแยกออกจากกันเล็กน้อยพอที่เกิดช่องว่างให้เกิดลำแสงสาดส่องลงมาตกทอดยาวเหนือปราสาท เอลเดลไฮน์แห่งโลเลนเซียร์ เสมือนพระเจ้ากำลังรับฟังคำขอของกษัตริย์ผู้ปกครองอาณาจักรเล็กๆแห่งนี้ก็มิปาน

“พระเจ้า หากข้าและเอลี่ศรัทธาแก่ท่าน ท่านจะทรงช่วยอำนวยอวยพรแด่เราทั้งสองหรือไม่ อันตัวเรานี้ไม่ต้องการสิ่งใดอีกนอกจากความสงบสุขของอาณาจักรนี้ แลพระราชทายาทสืบราชบัลลังก์ ขอเพียงเท่านี้ก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว!”

เป็นประโยคอ้อนวอน จากราชาผู้ปกครองดินแดนเล็กๆต่อพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ที่เหล่ามวลมนุษย์ต่างก็ไม่มีผู้ใดรู้ว่า มีจริงหรือไม่ก็ตาม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น